ปวดท้องน้อย อาการเตือนของโรคนรีเวช


ปวดท้องน้อย (Pelvic Pain) คืออาการปวดท้องด้านล่างตั้งแต่บริเวณใต้สะดือจนถึงหัวหน่าว จากความผิดปกติของอวัยวะในระบบทางเดินอาหาร หรือปัสสาวะ และระบบสืบพันธุ์ ที่มีความเกี่ยวข้องกับการมีประจำเดือน เพศสัมพันธ์ จึงเป็นอาการเตือนของโรคนรีเวช และโรคต่างๆ สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ 1. ปวดท้องน้อยเฉียบพลัน (Acute Pelvic Pain) 2. ปวดท้องน้อยเป็นซ้ำ (Recurrent Pelvic Pain) 3. ปวดท้องน้อยเรื้อรัง (Chronic Pelvic Pain) ซึ่งหากปล่อยไว้เป็นระยะเวลานาน ๆ จะสามารถส่งผลกระทบทางจิตใจ และกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้

สาเหตุที่ทำให้เกิดการปวดท้องน้อย

ปวดท้องน้อยเฉียบพลัน (Acute Pelvic Pain)

เกิดจากอวัยวะในช่องท้องขาดเลือดไปเลี้ยง ซึ่งมีสาเหตุดังนี้

- กระเพาะปัสสาวะอักเสบ

- ภาวะไข่ตกในช่วงกลางรอบเดือน

- การตั้งครรภ์นอกมดลูก

- นิ่วในท่อไต

- ความเสียหายของถุงน้ำรังไข่

- มดลูกอักเสบ

ปวดท้องน้อยแบบเป็นซ้ำ (Recurrent Pelvic Pain)

- การหลั่งสารโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) ออกมาจากถุงไข่ที่มีความผิดปกติ ในช่วงของการตกไข่

- การปวดประจำเดือนในช่วงเวลาก่อนมีประจำเดือน

ปวดท้องน้อยเรื้อรัง (Chronic Pelvic Pain)

- อาการปวดท้องน้อยมักเป็นต่อเนื่องกันมากกว่า 3- 6 เดือน

อาการปวดท้องน้อย

สามารถเกิดแบบเฉียบพลัน และแบบเรื้อรังได้ ผู้ป่วยบางรายไม่สามารถบรรเทาอาการปวดได้ด้วยการรับประทานยา นอกจากนี้ยังมีอาการร่วมอื่น ๆ อีกได้แก่

- ปวดเกร็งในขณะมีประจำเดือน

- มีของเหลวไหลออกจากช่องคลอด เช่น เลือด และการตกขาว

- ปวด เจ็บ ขณะปัสสาวะ รวมทั้งลักษณะสีของปัสสาวะมีความผิดปกติ เช่น ขุ่น มีฟอง หรือมีเลือดไหลปนออกมา

- เจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์

- เป็นไข้

- คลื่นไส้ อาเจียน

- การขับถ่ายผิดปกติ เช่น ท้องเสีย ท้องผูก มีเลือดไหลปนออกมากับอุจจาระ

การวินิจฉัยอาการปวดท้องน้อย

ในขั้นแรกแพทย์จะสอบถามอาการ และระยะเวลาในการเกิดอาการปวดท้องน้อยของผู้ป่วย หลังจากนั้นก็จะทำการตรวจภายในร่างกาย ได้แก่

- ตรวจเลือดและปัสสาวะ เพื่อหาการเกิดมะเร็งรังไข่

- ตรวจตัวอย่างสารคัดหลั่งบริเวณอวัยวะเพศ เพื่อหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

- ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก

การใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์เพื่อหาความผิดปกติในช่องท้อง และบริเวณอุ้งเชิงกราน ได้แก่

- การอัลตราซาวด์

- การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan)

- การส่องกล้องภายในมดลูกเพื่อตรวจหาความผิดปกติ

- การผ่าตัดหน้าท้องแล้วทำการส่องกล้อง (Laparoscopy)

ปวดท้องน้อย เป็นโรคอะไรบ้าง

- โรคในระบบสืบพันธุ์

- โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis)

- การติดเชื้ออักเสบในอุ้งเชิงกราน (PID, Metritis)

- พังผืดในอุ้งเชิงกราน (Pelvic Adhesion)

- ก้อนเนื้องอกที่ปีกมดลูก (Adnexal Mass)

- เนื้องอกมดลูก (Leiomyoma)

- โรคในระบบทางเดินปัสสาวะ

- โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis)

- มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ (Bladder Cancer)

- กรวยไตอักเสบ (Pyelonephritis)

- นิ่วในไต (Kidney Stones)

- โรคในระบบทางเดินอาหาร

- อาหารเป็นพิษ (Food Poisoning)

- โรคลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome)

- ลำไส้อักเสบ (Inflammatory Bowel Syndrome)

- มะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colorectal Cancer)

การรักษาอาการปวดท้องน้อย

การใช้ยา

- ยาแก้ปวด เช่น ยาพาราเซตามอล หรือยาไอบูโพรเฟน

- ยาต้านไวรัส สำหรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัส จากเพศสัมพันธ์

- ยาปฏิชีวนะ สำหรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อแบคทีเรีย หรือโรคทางเพศสัมพันธ์ รวมทั้งอวัยวะในอุ้งเชิงกรานอักเสบ เช่น ออฟลอกซาซิน (Ofloxacin) เมโทรนิดาโซล (Metronidazole) เซฟไตรอะโซน (Ceftriaxone) และด็อกซี่ไซคลีน (Doxycycline)

การผ่าตัด

- การผ่าตัดส่องกล้องที่มีแผลขนาดเล็ก

- การผ่าตัดหน้าท้องแบบเปิด

การป้องกันการปวดท้องน้อย

- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผักและผลไม้ ส่วนอาหารที่มีไขมันสูง รสหวาน หรือเค็มจัด ไม่ควรรับประทานในปริมาณมากเกินไป

- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ รวมทั้งการได้รับควันบุหรี่

- ออกกำลังกาย ตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล

- หลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอด

ป้องกันโรคทางเพศสัมพันธ์

- ใช้ถุงยางอนามัยที่ได้มาตรฐาน

- ไม่เปลี่ยนคู่นอนหลายคน

- ควรใช้สารหล่อลื่น

อาการปวดท้องน้อยไม่ได้มีแค่ผู้ป่วยเพศหญิงเพียงเท่านั้น เพศชายก็สามารถมีอาการปวดได้ ซึ่งสาเหตุก็มักจะคล้ายคลึงกัน ทั้งนี้ไม่ใช่แค่โรค หรือภาวะจากระบบสืบพันธุ์ ระบบทางเดินอาหาร หรือปัสสาวะต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดอาการปวดท้องน้อย แต่ภาวะทางจิตใจที่ผิดปกติก็สามารถทำให้มีอาการได้ เช่น ผู้ที่เคยถูกล่วงละเมิด ผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ภาวะเครียด หรือวิตกกังวล รวมทั้งผู้ที่ใช้สารเสพติด
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่