ไทยเราอยู่กับระบบสุขภาพ หลัก 5 ระบบ ได้แก่ เงินสด ประกันสุขภาพเอกชน สวัสดิการของข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ ประกันสังคม สปสช

ประเทศไทยเราอยู่กับระบบสุขภาพ หลัก 5 ระบบ ได้แก่ เงินสด ประกันสุขภาพเอกชน สวัสดิการของข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ ประกันสังคม และ สปสช. แต่ละระบบมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป แต่ละระบบมีผลกระทบกันทั้งทางตรงและทางอ้อม ต่อประชาชนโดยรวมทั้งประเทศ

แต่ละระบบมีข้อดีข้อเสียทั้งต่อผู้รับบริการและผู้ให้บริการ ไม่ว่าจะเป็นระดับผู้ปฏิบัติงาน ต่อ รพ. ต่อ payer ซึ่งแต่ละ party ย่อมมีความต้องการและข้อจำกัดเฉพาะตัวแตกต่างกัน

ระบบบัตรทองอยู่ในเมืองไทยมาไม่ต่ำกว่า 20 ปี แล้ว ล้มลุกคลุกคลาน ประกันสังคมก็เช่นกันมีข้อจำกัด และเป็นระบบที่บังคับจ่ายทุกเดือนสำหรับผู้ประกันตน ประกันสุขภาพเอกชนค่า premium ก็แตกต่างกันไปตามสิทธิประโยชน์ ในขณะที่ข้าราชการถือว่าตนเงินเดือนน้อยจึงคาดหวังว่าจะได้รับสวัสดิการการรักษาดีเยี่ยม

แต่โลกกำลังเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปทุกวัน ยาใหม่ๆ การรักษาใหม่ๆแพงขึ้นๆ แต่พฤติกรรมประชาชนชาวไทยไม่เปลี่ยน ไม่ใส่ใจดูแลสุขภาพมากนัก ยังคงดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ไม่ออกกำลังกาย ไม่ควบคุมน้ำหนัก กินหวาน กินไม่อั้น ชอบบุฟเฟ่ต์ ตลาดนัดอาหาร กินได้ทั้งวี่ทั้งวัน พักผ่อนไม่เพียงพอ

หายนะค่อยๆคืบคลานเข้ามา สัดส่วนผู้สูงอายุสูงขึ้นเรื่อยๆ และส่วนใหญ่ของผู้สูงอายุไม่มีเงินออม และจะต้องเผชิญกับโรค NCD ได้แก่ มะเร็ง เบาหวาน ไขมัน โรคไต โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง ในไม่ช้า และเกือบทุกคน หลายคนแก่ก่อนรวย เมื่อเจ็บป่วยโดยเฉพาะผู้ที่ไม่เคยดูแลตนเองเลย จะลำบากมากทั้งตนเองและลูกหลาน

ภาครัฐไม่ว่าจะเป็นหน่วยรณรงค์การดูแลสุขภาพ เช่น สสส. รพ.ต่างๆ ออกมาให้ความรู้ แต่ประชาชน กูไม่ปฏิบัติตามสักอย่าง ใครจะทำอะไร เป็นเบาหวานก็กินยาสิ ไขมัน โรคหัวใจ กินยา สวนหัวใจ เป็นมะเร็งก็รักษาฟรี แล้วใครที่ไหนจะหันมาดูแลสุขภาพ ในเมื่อเงินที่ต้องควักออกจากกระเป๋าเพื่อรักษาพยาบาลไม่ได้มาจากกระเป๋าตนเองทางตรง แต่เงินที่ใช้ในการเสพความสุขผ่านอาหารเครื่องดื่มมาจากความภูมิใจในการหาเงินมาเลี้ยงตัวตน และความไม่พอในการกิน ดื่ม ใช้ ชีวิต อ้างว่าไลฟ์สไตล์

ถึงเวลาที่ทุกคนควรรู้ได้แล้วว่าอีกไม่นาน กองทุนต่างๆข้างต้น ก็จะล้มเหลวในไม่ช้า อาจจะเป็น 10 ปี 20 ปี ซึ่งแน่นอน Gen X อย่างหมอเหลือเวลาทำงานอีกไม่ถึง 10 ปี หลายคนเตรียมสุขภาพ และภาระทางการเงินไว้แล้ว ไว้นานแล้วด้วย แต่อีกเกิน 80 เปอร์เซ็นต์ หมอว่าไม่

ระบบสุขภาพที่ยั่งยืนไม่จำเป็นต้องหมายถึง “รัฐจ่ายทุกอย่าง” เสมอไป หลายประเทศพยายามสร้างสมดุลระหว่างความมั่นคงทางสุขภาพ ความรับผิดชอบส่วนบุคคล และความเป็นธรรมต่อสังคมโดยรวม

นี่คือหลักคิดสำคัญที่มักถูกยกขึ้นมาอธิบายระบบสุขภาพที่แข็งแรงระยะยาว

• รัฐสวัสดิการสุขภาพไม่จำเป็นต้องฟรีทั้งหมด
มีหลายโมเดลที่ให้การรักษา “เข้าถึงได้” แต่ไม่ใช่ “ฟรีทั้งหมด” เพื่อให้รัฐสามารถควบคุมงบประมาณได้ยาวนาน และเพื่อป้องกันการใช้บริการเกินจำเป็น

• ทุกคนต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบสุขภาพตัวเอง
แนวคิดเรื่อง personal responsibility มักรวมถึงการ “ออมเพื่อสุขภาพ” เช่น บังคับบัญชีออมเงินสำหรับค่ารักษาในอนาคต ที่สามารถลดหย่อนภาษีได้ หลักการสำคัญคือ ทุกคนควรมีส่วนช่วยเตรียมค่าใช้จ่ายของตนเองตั้งแต่ตอนยังแข็งแรง และควรมีเครดิตสุขภาพที่สามารถมาลดหย่อนภาษีได้ในมนุษย์เงินเดือนที่แข็งแรง ไม่เคยใช้บริการสุขภาพของรัฐเลย  หรือในผู้ที่ไม่เคยอยู่ในระบบภาษี เมื่อกระทรวงการคลังจะให้ทุกคนในประเทศเข้าสู่ระบบภาษี negative income tax ก็ควรบูรณาการส่วนนี้เข้าไปด้วย

• รัฐช่วยแบบเฉพาะเจาะจง
มีโมเดลที่รัฐตั้งกองทุนสำหรับผู้ที่ลำบากจริงๆ จน พิการ อย่างแน่แท้ ไม่ใช่นับรวมชนชั้นกลางที่มีรถ มีบ้าน มีหนี้สินจากความโลภไม่มีที่สิ้นสุด  เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ยากไร้ยังเข้าถึงการรักษาที่จำเป็น ส่วนผู้ที่พอจ่ายได้ก็ร่วมจ่ายบางส่วน

• สิทธิของประชาชนกับข้าราชการ “ใกล้เคียงกัน”
บางประเทศออกแบบให้ทุกคนใช้ระบบเดียวกัน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำด้านสิทธิรักษาพยาบาล แนวคิดนี้ช่วยเพิ่มความโปร่งใสและความเชื่อมั่นของประชาชน ข้าราชการที่ทนระบบนี้ไม่ได้ก็ลาออกไปทำกิจการของตนเอง ถ้ามั่นใจว่าตนมีความรู้ความสามารถ ย่อมสามารถดูแลตนเองและครอบครัวได้มากกว่านี้แน่นอน  อันนี้อย่าหาว่าพูดแทงใจดำนะ เราก็เห็นไทยเทา ข้าราชการเทามากมายที่เป็นกาฝากในระบบราชการ ขนาดมีสวัสดิการดีๆอย่างนี้พวกยังทุจริต ฉ้อราษฎร์บังหลวง

• ความยั่งยืนต้องอาศัย “การออม + การร่วมจ่าย”

ระบบที่รัฐรับภาระทั้งหมดมีความเสี่ยงเรื่องงบประมาณระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้น แนวคิดที่ผสมระหว่าง
– การออมของประชาชน
– การร่วมจ่ายในบางบริการ
– การช่วยเหลือของรัฐในกลุ่มที่จำเป็นจริง
มักถูกใช้เพื่อให้ระบบอยู่ได้อย่างมั่นคง

สรุป
ระบบสุขภาพที่ดีไม่ใช่ระบบที่ “ฟรีทุกอย่าง” แต่เป็นระบบที่ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม รัฐช่วยคนที่ลำบากจริง และประชาชนมีส่วนร่วมรับผิดชอบสุขภาพของตนเอง

เรื่องนี้เป็นฝันกลางวันของคนวัยกลางคน คงไม่เป็นจริง!!
ใกล้เลือกตั้งละ

CR https://www.facebook.com/share/1FzGXkrcLm/?mibextid=wwXIfr
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่