
สวัสดีค่าเพื่อนๆ ชาวพันทิปทุกคน วันนี้ขอมาป้ายยาหนังเรื่องนึงที่วนกลับมาดูซ้ำกี่รอบก็ยังอินเหมือนเดิม นั่นก็คือ “Into the Wild” หนังที่สร้างจากเรื่องจริงของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ตัดสินใจทิ้งชีวิตที่ดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบทุกอย่างไว้ข้างหลัง แล้วออกเดินทางตามหาความหมายของการมีชีวิตด้วยตัวเอง เรื่องนี้อาจจะไม่ใช่หนังใหม่กิ๊ก แต่เชื่อเถอะค่ะว่า "ความคลาสสิก" ของมันจะยังคงกินใจผู้ชมไปอีกนานแสนนาน
Into the Wild เล่าเรื่องของ คริสโตเฟอร์ แม็คแคนด์เลส (รับบทโดย Emile Hirsch) เด็กหนุ่มหัวดี เพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยอนาคตไกล แต่แทนที่จะเดินตามเส้นทางที่สังคมขีดไว้ให้ เขาเลือกที่จะปฏิเสธทุกสิ่งอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ความสะดวกสบาย หรือแม้แต่ความสัมพันธ์กับครอบครัวที่เขารู้สึกว่าเต็มไปด้วยความฉาบฉวยและกดดัน คริสตัดสินใจบริจาคเงินเก็บทั้งหมด ทิ้งรถ ทิ้งตัวตนเดิมๆ แล้วออกเดินทางผจญภัยไปตามลำพัง เพื่อค้นหาอิสรภาพที่แท้จริงในดินแดนห่างไกล โดยมีจุดหมายปลายทางคืออลาสก้า ดินแดนที่รกร้างว่างเปล่าและท้าทายที่สุด
หนังเรื่องนี้มันไม่ใช่แค่การผจญภัยทางกายภาพนะ แต่เป็นการเดินทางเข้าสู่ภายในจิตใจของคริสเอง เราจะได้เห็นเขาเผชิญหน้ากับธรรมชาติที่โหดร้าย แต่ในขณะเดียวกันก็งดงามจับใจ ได้พบปะผู้คนแปลกหน้ามากมายระหว่างทาง ซึ่งแต่ละคนก็ได้มอบบทเรียนหรือแง่คิดบางอย่างให้กับคริส ไม่ว่าจะเป็นคู่รักฮิปปี้ใจดี คนงานฟาร์มที่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ชีวิต หรือคุณตาใจดีที่รู้สึกผูกพันกับคริสเหมือนลูกหลาน ซึ่งความสัมพันธ์เหล่านี้เองที่ทำให้คริสได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับความหมายของ "บ้าน" และ "ความผูกพัน" ในรูปแบบที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน
สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ตราตรึงใจมากๆ คือการแสดงของ Emile Hirsch ที่ต้องแบกรับบทหนักเกือบทั้งเรื่อง เขาถ่ายทอดคาแรกเตอร์ของคริสออกมาได้อย่างสมจริงมากๆ ทั้งความมุ่งมั่น ความบริสุทธิ์ ความบ้าบิ่น ความอ่อนไหว และความขัดแย้งภายในใจที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นตลอดการเดินทาง ทำให้เราเชื่อในตัวละครนี้จริงๆ ว่าเขาคือคนที่ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่ออุดมการณ์ของตัวเองจริงๆ และที่สำคัญคือ เพลงประกอบภาพยนตร์จาก Eddie Vedder (นักร้องนำ Pearl Jam) คือที่สุด! มันช่วยเสริมบรรยากาศของหนังให้เราอินไปกับการเดินทางของคริสได้แบบสุดๆ ทุกเพลงมันเข้ากับภาพและอารมณ์ของตัวละครอย่างลงตัว ฟังแล้วรู้สึกเหมือนได้ออกเดินทางไปพร้อมกับเขาจริงๆ เลยค่ะ
อีกอย่างที่ต้องชมเลยคือภาพในหนังเรื่องนี้สวยมากกกก! การถ่ายทำวิวทิวทัศน์ธรรมชาติของอเมริกา ตั้งแต่ทะเลทรายไปจนถึงป่าเขาในอลาสก้า มันทำให้เรารู้สึกเหมือนได้ไปสัมผัสความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติด้วยตัวเอง ทั้งงดงามและน่าเกรงขามในคราวเดียวกัน มันทำให้เราได้คิดตามว่า การอยู่ท่ามกลางความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติแบบโดดเดี่ยว มันให้ความรู้สึกยังไงกันแน่ ทั้งอิสระและเปราะบางในเวลาเดียวกัน
สำหรับเรา Into the Wild ไม่ได้แค่เล่าเรื่องการผจญภัย แต่ชวนให้เราตั้งคำถามกับชีวิตตัวเองหลายอย่างมากๆ ค่ะ ว่าจริงๆ แล้ว "ความสุข" ที่แท้จริงมันคืออะไรกันแน่? การมีทุกอย่างในแบบที่สังคมบอกว่าดีที่สุด มันคือความสุขของเราจริงๆ หรือเปล่า? การออกไปใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ มันต้องแลกมาด้วยอะไรบ้าง? และความโดดเดี่ยว อิสรภาพ กับความสัมพันธ์ มิตรภาพ และความรัก อะไรคือสิ่งที่เราต้องการมากกว่ากัน?
หนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้มีบทสรุปที่สวยงามในแบบเทพนิยาย แต่ก็เป็นบทสรุปที่ทำให้เราได้กลับมาทบทวนความคิดและมุมมองต่อการใช้ชีวิตตัวเองได้อย่างลึกซ
Into the Wild: การเดินทางที่เปลี่ยนใจคนดู... หรืออย่างน้อยก็ทำให้เราอยากแบกเป้หายไปจากโลกนี้!
สวัสดีค่าเพื่อนๆ ชาวพันทิปทุกคน วันนี้ขอมาป้ายยาหนังเรื่องนึงที่วนกลับมาดูซ้ำกี่รอบก็ยังอินเหมือนเดิม นั่นก็คือ “Into the Wild” หนังที่สร้างจากเรื่องจริงของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ตัดสินใจทิ้งชีวิตที่ดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบทุกอย่างไว้ข้างหลัง แล้วออกเดินทางตามหาความหมายของการมีชีวิตด้วยตัวเอง เรื่องนี้อาจจะไม่ใช่หนังใหม่กิ๊ก แต่เชื่อเถอะค่ะว่า "ความคลาสสิก" ของมันจะยังคงกินใจผู้ชมไปอีกนานแสนนาน
Into the Wild เล่าเรื่องของ คริสโตเฟอร์ แม็คแคนด์เลส (รับบทโดย Emile Hirsch) เด็กหนุ่มหัวดี เพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยอนาคตไกล แต่แทนที่จะเดินตามเส้นทางที่สังคมขีดไว้ให้ เขาเลือกที่จะปฏิเสธทุกสิ่งอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ความสะดวกสบาย หรือแม้แต่ความสัมพันธ์กับครอบครัวที่เขารู้สึกว่าเต็มไปด้วยความฉาบฉวยและกดดัน คริสตัดสินใจบริจาคเงินเก็บทั้งหมด ทิ้งรถ ทิ้งตัวตนเดิมๆ แล้วออกเดินทางผจญภัยไปตามลำพัง เพื่อค้นหาอิสรภาพที่แท้จริงในดินแดนห่างไกล โดยมีจุดหมายปลายทางคืออลาสก้า ดินแดนที่รกร้างว่างเปล่าและท้าทายที่สุด
หนังเรื่องนี้มันไม่ใช่แค่การผจญภัยทางกายภาพนะ แต่เป็นการเดินทางเข้าสู่ภายในจิตใจของคริสเอง เราจะได้เห็นเขาเผชิญหน้ากับธรรมชาติที่โหดร้าย แต่ในขณะเดียวกันก็งดงามจับใจ ได้พบปะผู้คนแปลกหน้ามากมายระหว่างทาง ซึ่งแต่ละคนก็ได้มอบบทเรียนหรือแง่คิดบางอย่างให้กับคริส ไม่ว่าจะเป็นคู่รักฮิปปี้ใจดี คนงานฟาร์มที่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ชีวิต หรือคุณตาใจดีที่รู้สึกผูกพันกับคริสเหมือนลูกหลาน ซึ่งความสัมพันธ์เหล่านี้เองที่ทำให้คริสได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับความหมายของ "บ้าน" และ "ความผูกพัน" ในรูปแบบที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน
สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ตราตรึงใจมากๆ คือการแสดงของ Emile Hirsch ที่ต้องแบกรับบทหนักเกือบทั้งเรื่อง เขาถ่ายทอดคาแรกเตอร์ของคริสออกมาได้อย่างสมจริงมากๆ ทั้งความมุ่งมั่น ความบริสุทธิ์ ความบ้าบิ่น ความอ่อนไหว และความขัดแย้งภายในใจที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นตลอดการเดินทาง ทำให้เราเชื่อในตัวละครนี้จริงๆ ว่าเขาคือคนที่ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่ออุดมการณ์ของตัวเองจริงๆ และที่สำคัญคือ เพลงประกอบภาพยนตร์จาก Eddie Vedder (นักร้องนำ Pearl Jam) คือที่สุด! มันช่วยเสริมบรรยากาศของหนังให้เราอินไปกับการเดินทางของคริสได้แบบสุดๆ ทุกเพลงมันเข้ากับภาพและอารมณ์ของตัวละครอย่างลงตัว ฟังแล้วรู้สึกเหมือนได้ออกเดินทางไปพร้อมกับเขาจริงๆ เลยค่ะ
อีกอย่างที่ต้องชมเลยคือภาพในหนังเรื่องนี้สวยมากกกก! การถ่ายทำวิวทิวทัศน์ธรรมชาติของอเมริกา ตั้งแต่ทะเลทรายไปจนถึงป่าเขาในอลาสก้า มันทำให้เรารู้สึกเหมือนได้ไปสัมผัสความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติด้วยตัวเอง ทั้งงดงามและน่าเกรงขามในคราวเดียวกัน มันทำให้เราได้คิดตามว่า การอยู่ท่ามกลางความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติแบบโดดเดี่ยว มันให้ความรู้สึกยังไงกันแน่ ทั้งอิสระและเปราะบางในเวลาเดียวกัน
สำหรับเรา Into the Wild ไม่ได้แค่เล่าเรื่องการผจญภัย แต่ชวนให้เราตั้งคำถามกับชีวิตตัวเองหลายอย่างมากๆ ค่ะ ว่าจริงๆ แล้ว "ความสุข" ที่แท้จริงมันคืออะไรกันแน่? การมีทุกอย่างในแบบที่สังคมบอกว่าดีที่สุด มันคือความสุขของเราจริงๆ หรือเปล่า? การออกไปใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ มันต้องแลกมาด้วยอะไรบ้าง? และความโดดเดี่ยว อิสรภาพ กับความสัมพันธ์ มิตรภาพ และความรัก อะไรคือสิ่งที่เราต้องการมากกว่ากัน?
หนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้มีบทสรุปที่สวยงามในแบบเทพนิยาย แต่ก็เป็นบทสรุปที่ทำให้เราได้กลับมาทบทวนความคิดและมุมมองต่อการใช้ชีวิตตัวเองได้อย่างลึกซ