เคยเห็นผู้ป่วย ที่ทานยาประจำเป็น จำนวนมากเป็นเวลานานแล้วเกิดภาวะโรคใต้จึงหาข้อมูล ว่าควรปฎิบัติตัวอย่างไร

การดูแลผู้ป่วยที่รับประทานยาในปริมาณมากและต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน (เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคเรื้อรังอื่นๆ) เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบต่อ ไตและตับ
คำแนะนำในการปฏิบัติตัวและการตรวจสุขภาพสำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้ สรุปได้ดังนี้ครับ:
💊 การปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยที่ทานยามากและระยะยาว
1. 📋 การจัดการเรื่องยาอย่างเคร่งครัด
• ห้ามหยุดยาเองหรือเพิ่มยาเอง: ต้องรับประทานยาตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัดเท่านั้น การหยุดยาบางตัว (เช่น ยาเบาหวาน ยาลดความดัน) อาจทำให้โรครุนแรงขึ้นเฉียบพลัน
• ทำรายการยา (Drug List): ผู้ป่วยควรมีรายการยาที่ทานอยู่ทั้งหมด (ทั้งชื่อยา ปริมาณ และความถี่) เพื่อให้แพทย์และเภสัชกรทุกคนที่ดูแลสามารถตรวจสอบการทำงานร่วมกันของยา (Drug Interaction) ได้อย่างถูกต้อง
• ปรึกษาเภสัชกร: หากมีอาการผิดปกติหลังทานยา หรือทานยาจากหลายคลินิก/โรงพยาบาล ควรปรึกษาเภสัชกรเพื่อช่วยตรวจสอบและจัดระเบียบยา เพื่อลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงหรือยาตีกัน
2. 🥦 การดูแลสุขภาพโดยรวม
• ควบคุมอาหาร: ควบคุมอาหารอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวาน (จำกัดน้ำตาล คาร์โบไฮเดรต) และผู้ป่วยความดันโลหิตสูง (ลดโซเดียม/เกลือ)
• ดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียงพอ: การดื่มน้ำเพียงพอช่วยให้ไตทำงานได้ดีขึ้นในการกำจัดของเสียและยาออกจากร่างกาย
• หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง: ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ และ งดสูบบุหรี่ โดยเด็ดขาด เนื่องจากสิ่งเหล่านี้จะเพิ่มภาระให้ตับและไตอย่างมาก และยังขัดขวางประสิทธิภาพของยา
• ระมัดระวังยาที่ไม่ใช่ยาหลัก: ควรแจ้งแพทย์/เภสัชกรหากต้องทาน ยาแผนโบราณ สมุนไพร หรือ อาหารเสริม ใดๆ เพราะผลิตภัณฑ์เหล่านี้อาจมีผลกระทบต่อการทำงานของไตและตับได้
🔬 การตรวจค่าไตและการป้องกันโรคไต
คำตอบคือ: ควรตรวจค่าไตควบคู่ไปด้วยขณะทานยาเป็นระยะเวลานาน การตรวจนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งและควรทำตามคำแนะนำของแพทย์เป็นประจำ
1. ⏳ ทำไมต้องตรวจค่าไต?
• ยาหลายชนิดถูกขับออกทางไต: ยารักษาโรคเรื้อรังจำนวนมาก (เช่น ยาเบาหวานบางชนิด, ยาลดความดันบางชนิด, ยาแก้ปวด \bm{\text{NSAIDs}}) ต้องอาศัยการกำจัดออกจากร่างกายโดยไต การทานต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจส่งผลให้ไตทำงานหนักขึ้น
• เบาหวาน/ความดันโลหิตสูงทำลายไตโดยตรง: โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงเป็นสาเหตุหลักของโรคไตวายเรื้อรังในประเทศไทยอยู่แล้ว การติดตามค่าไตจึงไม่ใช่แค่การดูผลข้างเคียงจากยา แต่เป็นการติดตามความก้าวหน้าของโรคหลักด้วย
• การป้องกันและรักษาได้ทันที: หากตรวจพบความผิดปกติของค่าไตตั้งแต่ระยะเริ่มต้น (เช่น มีโปรตีนรั่วในปัสสาวะ หรือค่า \bm{\text{Creatinine}} เริ่มสูงขึ้น) แพทย์จะสามารถ ปรับยา (ทั้งยาหลักและยาที่อาจมีผลต่อไต) และ ปรับแผนการรักษา ได้ทันทีก่อนที่ไตจะเสื่อมลงอย่างถาวร
2. ✅ ค่าที่ควรตรวจติดตามเป็นประจำ
แพทย์จะพิจารณาการตรวจอย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง หรือบ่อยกว่านั้นตามความเสี่ยงของผู้ป่วย:
• ค่า \bm{\text{Creatinine}} และ \bm{\text{eGFR}} (Estimated Glomerular Filtration Rate): เป็นการตรวจเลือดเพื่อประเมินประสิทธิภาพการกรองของเสียของไต ค่า \bm{\text{eGFR}} บอกระดับการทำงานของไตเป็นเปอร์เซ็นต์
• การตรวจปัสสาวะหาโปรตีน (Microalbuminuria/Proteinuria): เป็นการตรวจคัดกรองโรคไตระยะเริ่มต้นที่เกิดจากเบาหวานหรือความดันโลหิตสูง หากพบว่ามีโปรตีนรั่วออกมาในปัสสาวะ ถือเป็นสัญญาณอันตรายของไต
3. 🛡️ การป้องกันโรคไตจากยา
• หลีกเลี่ยงยาแก้ปวดกลุ่ม \bm{\text{NSAIDs}}: เช่น Ibuprofen, Diclofenac, Naproxen ยาเหล่านี้มีฤทธิ์ลดการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงไต และสามารถทำให้ไตวายเฉียบพลันได้ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีภาวะไตเสื่อมอยู่แล้ว ควรใช้ Paracetamol แทน หรือปรึกษาแพทย์
• การปรับยาตามค่าไต: หากค่า \bm{\text{eGFR}} ลดลง แพทย์จะทำการปรับขนาดยาที่ขับออกทางไต หรือเปลี่ยนไปใช้ยาที่มีความปลอดภัยต่อไตมากกว่า เพื่อลดภาระการทำงานของไต
• ควบคุมโรคหลักให้ดี: การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด \bm{(\text{HbA1c})} และความดันโลหิตให้ได้ตามเป้าหมาย (มักจะต่ำกว่า \bm{\text{130/80 mmHg}}) คือการป้องกันไตเสื่อมที่ดีที่สุด

สรุป: ผู้ป่วยที่ทานยาปริมาณมากและต่อเนื่อง ควรติดตามค่าไตและตับอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แพทย์สามารถเฝ้าระวังและปรับยาได้อย่างเหมาะสมที่สุด ซึ่งเป็นการดูแลที่ครอบคลุมและลดความเสี่ยงในระยะยาวครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่