ในชีวิตที่ผ่านมา เราไม่เคยดูแลตัวเองแบบจริงจังมาก่อน จนมาถึงวัย 35
หันไปทางไหนก็เห็นแต่คนรอบตัวเริ่มให้ความสำคัญกับสุขภาพและผิวพรรณกันหมด
มันทำให้รู้สึกว่า… ถึงเวลาที่เราต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง ให้เป็นของขวัญกับตัวเองบ้าง
ปัญหาผิวเราคือแพ้ง่ายมาก ใช้แบรนด์ดัง ๆ ที่เขาว่าดีมาหลายตัว
สุดท้ายสิวผดกลับขึ้นเยอะกว่าเดิม ทั้ง ๆ ที่เลือกสูตรสำหรับคนผิวแพ้ง่ายแล้ว
บางช่วงหนักจนต้องล้างหน้าด้วยสบู่เด็กแทน
กลางปีที่ผ่านมาเราไปทำเลเซอร์มา 2 รอบเพื่อเตรียมงานแต่ง
แต่หลังแต่งเสร็จ ก็กลับไปใช้ชีวิตตามเดิม… ไม่ได้ดูแลตัวเองต่อ
จนวันหนึ่งน้องในออฟฟิศทักว่า “พี่ ทำไมหน้าพี่แดงจัง”
มันเป็นประโยคที่ทำให้เราหยุดแล้วเริ่มสังเกตตัวเอง
แล้วก็พบว่าหน้าเรามันแดงขึ้นมากจริง ๆ
ตอนนั้นตกใจมาก เลยเริ่มหาข้อมูลจากเน็ต หาแบรนด์ที่ดูน่าเชื่อถือ
จนตัดสินใจซื้อครีมและเซรั่มมาหลายตัว
ครีมหลอดละพัน เซรั่มขวดละพันต้นถึงพันกลาง
รวมกับโทนเนอร์และน้ำตบ ใช้เงินไปเกือบหมื่น เพราะคิดว่า “ของดีต้องช่วยได้”
ช่วงแรกที่ใช้ก็ยังแดง แสบ แต่ก็คิดว่าเป็นเพราะหน้าเราอ่อนแออยู่แล้ว
ผ่านไปสองสัปดาห์ อาการก็ยังเหมือนเดิม
เลยเริ่มหาข้อมูลแบบจริงจัง และถึงบางอ้อว่า…
ของดีทุกตัว ไม่ได้ใช้ร่วมกันได้ทุกสถานการณ์
แถมบางตัวห้ามใช้กลางวัน บางตัวใช้ได้ไม่กี่ครั้งต่ออาทิตย์
ก็เฟลนะ ใช้เยอะก็ไม่ได้ ผิวรับไม่ไหว
จากที่ตั้งใจบำรุง กลายเป็นทำร้ายผิวโดยไม่ตั้งใจ
แต่ “จุดเจ็บ” ตรงนี้แหละ ที่ทำให้ความคิดหนึ่งที่เคยมีกลับมาอีกครั้ง
ความคิดที่เคยลืมไปเป็นสิบปีว่า…
ทำไมไม่ทำแบรนด์ของตัวเองไปเลยล่ะ?
ก็เคยมีคนสอนว่า “ปัญหาคือธุรกิจ”
และตอนนี้เราก็อยู่ในวัยที่พร้อมมากกว่าครั้งไหน
ทั้งเรื่องเวลา และเรื่องทุน (ถ้าต้องใช้)
มันเลยเหมือนคำตอบมันชัดขึ้นในหัวว่า
ถึงเวลาลุกขึ้นแก้ปัญหานี้ด้วยมือเราเองแล้วจริง ๆ
และพอเรามาย้อนดู หลายอย่างในชีวิตมันก็เหมือนจะพาให้มาถึงจุดนี้เองแบบไม่ตั้งใจ
ทั้งความผิดหวังกับผิวตัวเอง
ทั้งเงินที่เสียไปเพื่อหาคำตอบ
ทั้งคำทักเล็ก ๆ จากคนรอบตัว
รวมถึงความรู้สึกว่า “เราน่าจะทำได้ดีกว่านี้”
มันเลยกลายเป็นคำถามที่ชัดขึ้นเรื่อย ๆ ว่า…
ถ้าไม่มีแบรนด์ไหนตอบโจทย์เราได้จริง ๆ
แล้ว ทำไมเราไม่ลองสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเองล่ะ?
ตอนนั้นยังไม่มีแผน ไม่มีความรู้ ไม่มีอะไรเป็นรูปเป็นร่าง
มีแค่ความตั้งใจหนึ่งเดียวว่า
อยากทำสกินแคร์ที่ซื่อตรง และไม่ทำร้ายผิวใครเหมือนที่เคยเกิดกับเรา
ความรู้สึกนั้นมันค่อย ๆ ขยายตัว
จากความอยากแก้ปัญหาตัวเอง
กลายเป็นความอยากทำแบรนด์ที่ “ดีพอ” สำหรับคนอื่นด้วย
แล้วเราก็รู้เลยว่า…
นี่แหละ จุดเริ่มต้นจริง ๆ ของ Arvée
ไม่ใช่ความฝันใหญ่
ไม่ใช่แผนธุรกิจที่วางมาดิบดี
แต่มาจาก ปัญหาที่เราเจอกับตัวเอง และความดื้อที่อยากแก้มันให้ได้
Arvée Journal EP.2 — จุดเริ่มต้นของการคิดทำแบรนด์สกินแคร์
หันไปทางไหนก็เห็นแต่คนรอบตัวเริ่มให้ความสำคัญกับสุขภาพและผิวพรรณกันหมด
มันทำให้รู้สึกว่า… ถึงเวลาที่เราต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง ให้เป็นของขวัญกับตัวเองบ้าง
ปัญหาผิวเราคือแพ้ง่ายมาก ใช้แบรนด์ดัง ๆ ที่เขาว่าดีมาหลายตัว
สุดท้ายสิวผดกลับขึ้นเยอะกว่าเดิม ทั้ง ๆ ที่เลือกสูตรสำหรับคนผิวแพ้ง่ายแล้ว
บางช่วงหนักจนต้องล้างหน้าด้วยสบู่เด็กแทน
กลางปีที่ผ่านมาเราไปทำเลเซอร์มา 2 รอบเพื่อเตรียมงานแต่ง
แต่หลังแต่งเสร็จ ก็กลับไปใช้ชีวิตตามเดิม… ไม่ได้ดูแลตัวเองต่อ
จนวันหนึ่งน้องในออฟฟิศทักว่า “พี่ ทำไมหน้าพี่แดงจัง”
มันเป็นประโยคที่ทำให้เราหยุดแล้วเริ่มสังเกตตัวเอง
แล้วก็พบว่าหน้าเรามันแดงขึ้นมากจริง ๆ
ตอนนั้นตกใจมาก เลยเริ่มหาข้อมูลจากเน็ต หาแบรนด์ที่ดูน่าเชื่อถือ
จนตัดสินใจซื้อครีมและเซรั่มมาหลายตัว
ครีมหลอดละพัน เซรั่มขวดละพันต้นถึงพันกลาง
รวมกับโทนเนอร์และน้ำตบ ใช้เงินไปเกือบหมื่น เพราะคิดว่า “ของดีต้องช่วยได้”
ช่วงแรกที่ใช้ก็ยังแดง แสบ แต่ก็คิดว่าเป็นเพราะหน้าเราอ่อนแออยู่แล้ว
ผ่านไปสองสัปดาห์ อาการก็ยังเหมือนเดิม
เลยเริ่มหาข้อมูลแบบจริงจัง และถึงบางอ้อว่า…
ของดีทุกตัว ไม่ได้ใช้ร่วมกันได้ทุกสถานการณ์
แถมบางตัวห้ามใช้กลางวัน บางตัวใช้ได้ไม่กี่ครั้งต่ออาทิตย์
ก็เฟลนะ ใช้เยอะก็ไม่ได้ ผิวรับไม่ไหว
จากที่ตั้งใจบำรุง กลายเป็นทำร้ายผิวโดยไม่ตั้งใจ
แต่ “จุดเจ็บ” ตรงนี้แหละ ที่ทำให้ความคิดหนึ่งที่เคยมีกลับมาอีกครั้ง
ความคิดที่เคยลืมไปเป็นสิบปีว่า…
ทำไมไม่ทำแบรนด์ของตัวเองไปเลยล่ะ?
ก็เคยมีคนสอนว่า “ปัญหาคือธุรกิจ”
และตอนนี้เราก็อยู่ในวัยที่พร้อมมากกว่าครั้งไหน
ทั้งเรื่องเวลา และเรื่องทุน (ถ้าต้องใช้)
มันเลยเหมือนคำตอบมันชัดขึ้นในหัวว่า
ถึงเวลาลุกขึ้นแก้ปัญหานี้ด้วยมือเราเองแล้วจริง ๆ
และพอเรามาย้อนดู หลายอย่างในชีวิตมันก็เหมือนจะพาให้มาถึงจุดนี้เองแบบไม่ตั้งใจ
ทั้งความผิดหวังกับผิวตัวเอง
ทั้งเงินที่เสียไปเพื่อหาคำตอบ
ทั้งคำทักเล็ก ๆ จากคนรอบตัว
รวมถึงความรู้สึกว่า “เราน่าจะทำได้ดีกว่านี้”
มันเลยกลายเป็นคำถามที่ชัดขึ้นเรื่อย ๆ ว่า…
ถ้าไม่มีแบรนด์ไหนตอบโจทย์เราได้จริง ๆ
แล้ว ทำไมเราไม่ลองสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเองล่ะ?
ตอนนั้นยังไม่มีแผน ไม่มีความรู้ ไม่มีอะไรเป็นรูปเป็นร่าง
มีแค่ความตั้งใจหนึ่งเดียวว่า
อยากทำสกินแคร์ที่ซื่อตรง และไม่ทำร้ายผิวใครเหมือนที่เคยเกิดกับเรา
ความรู้สึกนั้นมันค่อย ๆ ขยายตัว
จากความอยากแก้ปัญหาตัวเอง
กลายเป็นความอยากทำแบรนด์ที่ “ดีพอ” สำหรับคนอื่นด้วย
แล้วเราก็รู้เลยว่า…
นี่แหละ จุดเริ่มต้นจริง ๆ ของ Arvée
ไม่ใช่ความฝันใหญ่
ไม่ใช่แผนธุรกิจที่วางมาดิบดี
แต่มาจาก ปัญหาที่เราเจอกับตัวเอง และความดื้อที่อยากแก้มันให้ได้