หนังเรื่องนี้กำกับโดย Aziz Ansari ผกก. ชาวอเมริกัน เชื้อสายอินเดีย จากรัฐทมิฬนาฑู ที่นอกจากจะกำกับแล้ว Aziz ยังรับบทเป็น Arj นักแสดงนำของเรื่องอีกด้วย นอกจากนี้หนังยังรวบรวมเอานักแสดงนำระดับแถวหน้าอย่าง Keanu Reeves ที่เปลี่ยนบทบาทมารับบท Gabriel เทวทูตระดับล่าง ผู้มีนิสัยสุดซื่อ และอ่อนต่อโลก, Seth Rogan ที่มารับบท Jeff หนุ่มนักลงทุนและเศรษฐี Start up ที่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางความสมบูรณ์แบบ, Keke Palmer รับบท Elena ลูกจ้างระดับล่างของห้างค้าส่ง ที่มีความพยามยามจะต่อสู้เพื่อจัดตั้งสหภาพแรงงานให้ได้, Sandra Oh รับบทหัวหน้าเทวทูต และ Stephen McKinley Henderson รับบทเทวทูตระดับบน
หนังเล่าเรื่องราวของ Arj ชายหนุ่มเชื้อสายอินเดีย ผู้ที่ต้องดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวรอดในเมืองใหญ่ เขามีความฝันอยากเป็นมือตัดต่อสารคดี แต่ตอนนี้ทำได้เพียงรับจ้างรายวันตาม App. ที่ได้งานก็ยาก ค่าจ้างก็น้อยนิด ไม่มีเงินแม้แต่จะเช่าห้องอยู่ ต้องนอนบนรถไปวัน ๆ วันหนึ่งเขาได้รับงานให้ไปจัดของในโรงรถของ Jeff หนุ่มผู้ร่ำรวยจากการเป็นนักลงทุน และถือหุ้นในบริษัท Start up ซึ่งก็คือ App. ที่ Arj รับงานอยู่นั่นเอง ความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจน คนที่มีโอกาส กับคนไร้ซึ่งโอกาส ช่างเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนยิ่ง เมื่อทั้ง 2 ขั่วได้โคจรมาเจอกัน ซึ่งสิ่งนี้ได้ไปเข้าตาของ Gabriel เทวทูตระดับล่าง ที่มีหน้าที่ช่วยให้คนให้พ้นภัยจากการใช้โทรศัพท์มือถือระหว่างขับรถ แต่ตอนนี้ ชีวิตที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนของ Arj กลับไปสะดุดใจ Gabriel ทำให้เขาอยากจะทำหน้าที่ ๆ ใหญ่ขึ้น คือ การเปลี่ยนชีวิตของคนสู้ชีวิตอย่าง Arj กับเศรษฐีผู้ที่ไม่เคยพบกับความยากลำบากอย่าง Jeff จากนั้นเรื่องราวความยุ่งเหยิงจึงเกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้...
สิ่งที่ชอบหลังจากดูหนังแล้วก็คือ ชอบที่หนังเลือกคนชายขอบที่อยู่ระดับล่างของสังคมอย่าง Arj คนที่มีสมอง แต่ไม่ได้รับโอกาส และทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินทองและความสำเร็จ โดยไม่สนใจคำพูดของใคร เขาพร้อมที่จะเสนอตัวให้กับโอกาสเสมอ ให้เป็นคนเชื้อสายอินเดีย คือ คน Tricky เจ้าเล่ห์แบบนี้ มันเหมาะกับคนอินเดียแบบ Arj มาก ทำให้เราเชื่อและเอาใจช่วย พร้อมกับขำเบา ๆ ให้กับบทบาทและโชคชะตาของเขามาก ๆ
การเปลี่ยนมารับบทซื่อ ๆ ใส ๆ ของ Keanu ก็ทำให้สัมผัสได้ถึงความสามารถของเขา รวมทั้งตัวของ Seth Rogan ที่มารับบทหนุ่มผู้มั่งคั่งที่ทำให้เราเห็นว่าคนรวยชีวิตมันดีอย่างนี้นี่เอง หนังเรื่องนี้เรียกได้ว่านักแสดงเล่นดีทุกคน คือ ทำให้เราเชื่อในบทบาทของแต่ละคนได้แบบไม่ติดใจอะไร
ตัวหนังมีความกระชับ ไม่สั้น ไม่ยาวจนเกินไป ทำให้ดูได้ไม่น่าเบื่อ หนังมีมุขให้ขำเบา ๆ ได้ตลอดเรื่อง แต่สิ่งสำคัญที่หนังต้องการนำเสนอ คือ สารในหนังนั้นก็ดีไม่แพ้กัน โดยแม้จะเป็นอะไรที่ดูเบาสมอง แต่สารที่หนังถ่ายทอดออกมากลับเป็นมุมมองที่ทำให้เราเห็นถึงคุณค่าในตัวของเราเอง ซึ่งไม่ว่าจะยากดีมีจน หรือร่ำรวยอย่างไร คุณค่าที่มีอยู่ในตัวเรามันไม่ได้มีคุณค่าที่แตกต่างกัน ซึ่งถ้าเรายึดมั่นในคุณค่านั้นแล้ว ใช้ชีวิตและดำเนินชีวิตตามความยึดมั่นนั้น เราก็สามารถจะมีความสุขและประสบความสำเร็จตามอัตภาพได้ โดยไม่ต้องไปอยากไปเป็นแบบใคร ๆ (สารในหนังที่นอกจากจะบอกกับ Arj แล้ว ยังบอกกับ Gabriel ด้วยว่าการที่เราอยากจะเป็นอื่น ที่ไม่ใช่เรา มันจะเกิดความวุ่นวายมากเพียงใด)
ส่วนที่ไม่ชอบก็คือ อาจจะเป็นเรื่องของการที่หนังเดินตามรอยสูตรสำเร็จมากเกินไป ทำให้แม้หนังจะดูสนุก แต่ก็เดาทางได้ไม่ยากเกือบทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้ถือว่าผิดอะไรแต่อย่างใดครับ
สรุป หนังเรื่องนี้ดูง่าย เบาสมอง มีความฟีลกู้ด สารที่ต้องการเสนอแม้จะออกแนวปรัชญา แต่ก็ไม่ได้หนักหรือยากที่จะเข้าใจแต่อย่างใด เป็นหนังที่ดูได้เบา ๆ ครับ
ใครได้ไปดูมาแล้วบ้าง คิดเห็นอย่างไรมาแชร์กันได้นะครับ
Good Fortune เทวดาแบบใดห์.. ใครไปดูมาแล้วบ้าง ชอบ ไม่ชอบ อย่างไรกันบ้างครับ
หนังเรื่องนี้กำกับโดย Aziz Ansari ผกก. ชาวอเมริกัน เชื้อสายอินเดีย จากรัฐทมิฬนาฑู ที่นอกจากจะกำกับแล้ว Aziz ยังรับบทเป็น Arj นักแสดงนำของเรื่องอีกด้วย นอกจากนี้หนังยังรวบรวมเอานักแสดงนำระดับแถวหน้าอย่าง Keanu Reeves ที่เปลี่ยนบทบาทมารับบท Gabriel เทวทูตระดับล่าง ผู้มีนิสัยสุดซื่อ และอ่อนต่อโลก, Seth Rogan ที่มารับบท Jeff หนุ่มนักลงทุนและเศรษฐี Start up ที่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางความสมบูรณ์แบบ, Keke Palmer รับบท Elena ลูกจ้างระดับล่างของห้างค้าส่ง ที่มีความพยามยามจะต่อสู้เพื่อจัดตั้งสหภาพแรงงานให้ได้, Sandra Oh รับบทหัวหน้าเทวทูต และ Stephen McKinley Henderson รับบทเทวทูตระดับบน
หนังเล่าเรื่องราวของ Arj ชายหนุ่มเชื้อสายอินเดีย ผู้ที่ต้องดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวรอดในเมืองใหญ่ เขามีความฝันอยากเป็นมือตัดต่อสารคดี แต่ตอนนี้ทำได้เพียงรับจ้างรายวันตาม App. ที่ได้งานก็ยาก ค่าจ้างก็น้อยนิด ไม่มีเงินแม้แต่จะเช่าห้องอยู่ ต้องนอนบนรถไปวัน ๆ วันหนึ่งเขาได้รับงานให้ไปจัดของในโรงรถของ Jeff หนุ่มผู้ร่ำรวยจากการเป็นนักลงทุน และถือหุ้นในบริษัท Start up ซึ่งก็คือ App. ที่ Arj รับงานอยู่นั่นเอง ความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจน คนที่มีโอกาส กับคนไร้ซึ่งโอกาส ช่างเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนยิ่ง เมื่อทั้ง 2 ขั่วได้โคจรมาเจอกัน ซึ่งสิ่งนี้ได้ไปเข้าตาของ Gabriel เทวทูตระดับล่าง ที่มีหน้าที่ช่วยให้คนให้พ้นภัยจากการใช้โทรศัพท์มือถือระหว่างขับรถ แต่ตอนนี้ ชีวิตที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนของ Arj กลับไปสะดุดใจ Gabriel ทำให้เขาอยากจะทำหน้าที่ ๆ ใหญ่ขึ้น คือ การเปลี่ยนชีวิตของคนสู้ชีวิตอย่าง Arj กับเศรษฐีผู้ที่ไม่เคยพบกับความยากลำบากอย่าง Jeff จากนั้นเรื่องราวความยุ่งเหยิงจึงเกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้...
สิ่งที่ชอบหลังจากดูหนังแล้วก็คือ ชอบที่หนังเลือกคนชายขอบที่อยู่ระดับล่างของสังคมอย่าง Arj คนที่มีสมอง แต่ไม่ได้รับโอกาส และทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินทองและความสำเร็จ โดยไม่สนใจคำพูดของใคร เขาพร้อมที่จะเสนอตัวให้กับโอกาสเสมอ ให้เป็นคนเชื้อสายอินเดีย คือ คน Tricky เจ้าเล่ห์แบบนี้ มันเหมาะกับคนอินเดียแบบ Arj มาก ทำให้เราเชื่อและเอาใจช่วย พร้อมกับขำเบา ๆ ให้กับบทบาทและโชคชะตาของเขามาก ๆ
การเปลี่ยนมารับบทซื่อ ๆ ใส ๆ ของ Keanu ก็ทำให้สัมผัสได้ถึงความสามารถของเขา รวมทั้งตัวของ Seth Rogan ที่มารับบทหนุ่มผู้มั่งคั่งที่ทำให้เราเห็นว่าคนรวยชีวิตมันดีอย่างนี้นี่เอง หนังเรื่องนี้เรียกได้ว่านักแสดงเล่นดีทุกคน คือ ทำให้เราเชื่อในบทบาทของแต่ละคนได้แบบไม่ติดใจอะไร
ตัวหนังมีความกระชับ ไม่สั้น ไม่ยาวจนเกินไป ทำให้ดูได้ไม่น่าเบื่อ หนังมีมุขให้ขำเบา ๆ ได้ตลอดเรื่อง แต่สิ่งสำคัญที่หนังต้องการนำเสนอ คือ สารในหนังนั้นก็ดีไม่แพ้กัน โดยแม้จะเป็นอะไรที่ดูเบาสมอง แต่สารที่หนังถ่ายทอดออกมากลับเป็นมุมมองที่ทำให้เราเห็นถึงคุณค่าในตัวของเราเอง ซึ่งไม่ว่าจะยากดีมีจน หรือร่ำรวยอย่างไร คุณค่าที่มีอยู่ในตัวเรามันไม่ได้มีคุณค่าที่แตกต่างกัน ซึ่งถ้าเรายึดมั่นในคุณค่านั้นแล้ว ใช้ชีวิตและดำเนินชีวิตตามความยึดมั่นนั้น เราก็สามารถจะมีความสุขและประสบความสำเร็จตามอัตภาพได้ โดยไม่ต้องไปอยากไปเป็นแบบใคร ๆ (สารในหนังที่นอกจากจะบอกกับ Arj แล้ว ยังบอกกับ Gabriel ด้วยว่าการที่เราอยากจะเป็นอื่น ที่ไม่ใช่เรา มันจะเกิดความวุ่นวายมากเพียงใด)
ส่วนที่ไม่ชอบก็คือ อาจจะเป็นเรื่องของการที่หนังเดินตามรอยสูตรสำเร็จมากเกินไป ทำให้แม้หนังจะดูสนุก แต่ก็เดาทางได้ไม่ยากเกือบทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้ถือว่าผิดอะไรแต่อย่างใดครับ
สรุป หนังเรื่องนี้ดูง่าย เบาสมอง มีความฟีลกู้ด สารที่ต้องการเสนอแม้จะออกแนวปรัชญา แต่ก็ไม่ได้หนักหรือยากที่จะเข้าใจแต่อย่างใด เป็นหนังที่ดูได้เบา ๆ ครับ
ใครได้ไปดูมาแล้วบ้าง คิดเห็นอย่างไรมาแชร์กันได้นะครับ