"สิบหมื่น สิบหมื่น สิบหมื่น
แหมยิ้มระรื่นคงกลืนลงคอ
คุณพ่อครับผมแย่
คุณแม่ครับผมจน
สิบหมื่นผมเหลือทน
ไม่ขอดิ้นรนให้คนขายลูกกิน"
คุณคงเคยได้ยินเรื่องราวของเงิน "สิบหมื่น" จากภาพยนตร์ มนต์รักลูกทุ่ง (พ.ศ. 2513) ซึ่งเป็นสินสอดก้อนใหญ่จนหนุ่มคล้าวแทบหมดหวัง แต่เมื่อเราเทียบมูลค่าเงิน 100,000 บาท ในปีนั้นกับปัจจุบัน (พ.ศ. 2568) ด้วยอัตราเงินเฟ้อแล้ว ตัวเลขที่ได้กลับน่าตกใจอย่างยิ่ง
เงินเฟ้อภัยเงียบที่กัดกินเงินในกระเป๋า
เงินเฟ้อคือ ภาวะที่ราคาสินค้าและบริการโดยเฉลี่ยสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้อำนาจซื้อของเงินลดลง
ตัวอย่างจากเงิน "สิบหมื่น" เงิน 100,000 บาทในปี 2513 สามารถซื้อทองคำได้ถึง 240.38 บาททองคำ แต่หากเราถือแค่เงินสด 100,000 บาทมาถึงวันนี้ มันจะซื้อทองได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หากเทียบมูลค่าทองคำที่ซื้อได้ในอดีตเงิน "สิบหมื่น" นั้นเทียบเท่ากับสินสอดมูลค่ากว่า 15 ล้านบาทในปัจจุบัน! นี่คือบทเรียนที่ชัดเจนที่สุดว่าเงินสดที่เก็บไว้เฉยๆ นั้นถูกกัดกินมูลค่าไปมากเพียงใด
ทำไม Bitcoin จึงถูกมองเป็นเครื่องมือต้านเงินเฟ้อ?
เนื่องจากเงินเฟ้อส่วนใหญ่เกิดจากการที่รัฐบาลหรือธนาคารกลางสามารถพิมพ์เงิน (Fiat Money) ออกมาในระบบได้ไม่จำกัด ทำให้ปริมาณเงินเพิ่มขึ้นและมูลค่าลดลง แต่ Bitcoin มีคุณสมบัติที่คล้ายกับทองคำและแตกต่างจากเงินทั่วไปดังนี้
1. ปริมาณจำกัด (Scarcity)
Bitcoin ถูกกำหนดให้มีจำนวนจำกัดเพียง 21 ล้านเหรียญเท่านั้น ทำให้ไม่มีใครสามารถ "พิมพ์" Bitcoin เพิ่มได้เรื่อยๆเหมือนเงินทั่วไป
2. การผลิตที่ลดลง (Halving)
อัตราการสร้าง Bitcoin ใหม่จะลดลงครึ่งหนึ่งทุกๆสี่ปี (Halving) ทำให้การเข้ามาของ Bitcoin ในระบบเป็นไปอย่างช้าๆและคาดการณ์ได้ ซึ่งเป็นการต้านทานแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในตัวมันเอง
3. ไม่มีศูนย์กลาง (Decentralized)
Bitcoin ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลหรือธนาคารกลางใดๆ จึงไม่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการเงินที่อาจนำไปสู่การพิมพ์เงินและเงินเฟ้อ
Bitcoin จึงถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่ "แข็งแกร่ง" และสามารถรักษามูลค่า (Store of Value) ของความมั่งคั่งไว้ได้ดีกว่าเงินสดในช่วงที่เงินเฟ้อสูง
การเรียนรู้จากเงิน "สิบหมื่น" คือการตระหนักว่าการออมเงินในรูปของเงินสดเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ การจัดสรรสินทรัพย์ไปสู่สิ่งที่จำกัดปริมาณอย่าง Bitcoin จึงเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจในการปกป้องความมั่งคั่งจากอำนาจของเงินเฟ้อที่มองไม่เห็น
ถอดบทเรียนเงิน "สิบหมื่น" ในตำนาน VS เงินเฟ้อ กับเหตุผลว่าทำไม Bitcoin จึงเป็นเกราะป้องกันความมั่งคั่งของคุณ?
คุณคงเคยได้ยินเรื่องราวของเงิน "สิบหมื่น" จากภาพยนตร์ มนต์รักลูกทุ่ง (พ.ศ. 2513) ซึ่งเป็นสินสอดก้อนใหญ่จนหนุ่มคล้าวแทบหมดหวัง แต่เมื่อเราเทียบมูลค่าเงิน 100,000 บาท ในปีนั้นกับปัจจุบัน (พ.ศ. 2568) ด้วยอัตราเงินเฟ้อแล้ว ตัวเลขที่ได้กลับน่าตกใจอย่างยิ่ง
เงินเฟ้อภัยเงียบที่กัดกินเงินในกระเป๋า
เงินเฟ้อคือ ภาวะที่ราคาสินค้าและบริการโดยเฉลี่ยสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้อำนาจซื้อของเงินลดลง
ตัวอย่างจากเงิน "สิบหมื่น" เงิน 100,000 บาทในปี 2513 สามารถซื้อทองคำได้ถึง 240.38 บาททองคำ แต่หากเราถือแค่เงินสด 100,000 บาทมาถึงวันนี้ มันจะซื้อทองได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หากเทียบมูลค่าทองคำที่ซื้อได้ในอดีตเงิน "สิบหมื่น" นั้นเทียบเท่ากับสินสอดมูลค่ากว่า 15 ล้านบาทในปัจจุบัน! นี่คือบทเรียนที่ชัดเจนที่สุดว่าเงินสดที่เก็บไว้เฉยๆ นั้นถูกกัดกินมูลค่าไปมากเพียงใด
ทำไม Bitcoin จึงถูกมองเป็นเครื่องมือต้านเงินเฟ้อ?
เนื่องจากเงินเฟ้อส่วนใหญ่เกิดจากการที่รัฐบาลหรือธนาคารกลางสามารถพิมพ์เงิน (Fiat Money) ออกมาในระบบได้ไม่จำกัด ทำให้ปริมาณเงินเพิ่มขึ้นและมูลค่าลดลง แต่ Bitcoin มีคุณสมบัติที่คล้ายกับทองคำและแตกต่างจากเงินทั่วไปดังนี้
1. ปริมาณจำกัด (Scarcity)
Bitcoin ถูกกำหนดให้มีจำนวนจำกัดเพียง 21 ล้านเหรียญเท่านั้น ทำให้ไม่มีใครสามารถ "พิมพ์" Bitcoin เพิ่มได้เรื่อยๆเหมือนเงินทั่วไป
2. การผลิตที่ลดลง (Halving)
อัตราการสร้าง Bitcoin ใหม่จะลดลงครึ่งหนึ่งทุกๆสี่ปี (Halving) ทำให้การเข้ามาของ Bitcoin ในระบบเป็นไปอย่างช้าๆและคาดการณ์ได้ ซึ่งเป็นการต้านทานแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในตัวมันเอง
3. ไม่มีศูนย์กลาง (Decentralized)
Bitcoin ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลหรือธนาคารกลางใดๆ จึงไม่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการเงินที่อาจนำไปสู่การพิมพ์เงินและเงินเฟ้อ
Bitcoin จึงถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่ "แข็งแกร่ง" และสามารถรักษามูลค่า (Store of Value) ของความมั่งคั่งไว้ได้ดีกว่าเงินสดในช่วงที่เงินเฟ้อสูง
การเรียนรู้จากเงิน "สิบหมื่น" คือการตระหนักว่าการออมเงินในรูปของเงินสดเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ การจัดสรรสินทรัพย์ไปสู่สิ่งที่จำกัดปริมาณอย่าง Bitcoin จึงเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจในการปกป้องความมั่งคั่งจากอำนาจของเงินเฟ้อที่มองไม่เห็น