โลกกำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤตการเงินครั้งใหญ่ ซึ่งแตกต่างจากวิกฤตในอดีตอย่างสิ้นเชิง ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่านี่ไม่ใช่แค่ฟองสบู่อสังหาฯ หรือตลาดหุ้นพังทลายแบบปี 2008 แต่เป็นวิกฤตเงินเฟ้อที่จะทำให้มูลค่าของเงินสดและพันธบัตรรัฐบาลล่มสลายลง
เงินสดคือกับดัก
ในวิกฤตปี 2008 (ภาวะเงินฝืด) การถือเงินสดคือกลยุทธ์ที่ดี เพราะราคาทรัพย์สินตก ทำให้มีโอกาสช้อนซื้อได้ แต่ในวิกฤตปัจจุบันที่กำลังจะเกิดขึ้น มูลค่าที่พังทลายคือตัวเงินเอง การถือเงินสดจึงเป็นความผิดพลาดที่อันตรายที่สุด
ฟองสบู่ที่แท้จริงคือหนี้รัฐบาล
สิ่งที่ถูกมองว่าปลอดภัยที่สุดกำลังเป็นฟองสบู่ที่แท้จริง นั่นคือหนี้รัฐบาลและสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่พองตัวจากการกู้ยืมมหาศาลและการพิมพ์เงินอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อรากฐานของระบบการเงินไม่มั่นคง ทุกสิ่งที่สร้างอยู่บนนั้นก็จะสั่นคลอน
นี่คือการที่ "ตลาดล่มสลายแบบกลับด้าน"
แทนที่จะเห็นราคาทรัพย์สินลดลงอย่างหนักเหมือนในอดีต เรากลับเห็นราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นั่นไม่ใช่เพราะสินทรัพย์เหล่านั้นมีค่าเพิ่มขึ้นมาก แต่เป็นเพราะ อำนาจซื้อของเงินที่เราใช้กำลังลดลงอย่างรวดเร็ว
นี่คือสัญญาณของการหนีเงินเฟ้อ
การที่ Bitcoin, ทองคำ, และหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่พุ่งทะยานอย่างรุนแรง ไม่ใช่ฟองสบู่ในสินทรัพย์เหล่านั้น แต่เป็นแหล่งที่เงินทุนไหลออก จากเงินสดที่กำลังเสื่อมค่า ผู้คนกำลังเปลี่ยนเงินไปเก็บในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า
วิกฤตนี้แย่กว่าปี 2008 เพราะไม่มีปุ่มรีเซ็ต
วิกฤตเงินเฟ้อที่ตัวเงินล่มสลายจะไม่มีโอกาสให้กลับไปเริ่มต้นใหม่ได้อีก คนที่ถือเงินสดรอการล่มสลายแบบเดิม จะไม่เจอโอกาสนั้น ทรัพย์สินหายากจะยิ่งแพงขึ้นจนคนทั่วไปเข้าไม่ถึงอย่างถาวร เงินออมจะถูกเงินเฟ้อกัดกินจนหมดตัว
ทางรอดเดียวคือการถือครองสินทรัพย์ที่ถูกต้อง
ผู้ชนะคือผู้ที่วิ่งแซงหน้าวิกฤตด้วยการถือครองสิ่งที่ไม่สามารถพิมพ์เพิ่มได้ดังนี้
1. สินทรัพย์หายากแบบดิจิทัล เช่น Bitcoin
2. โลหะมีค่า เช่น ทองคำ
3. ทรัพย์สินที่จับต้องได้ เช่น อสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมียม
4. ธุรกิจที่แข็งแกร่ง ที่มีกระแสเงินสดจริงและเติบโตไปพร้อมกับภาวะเงินเฟ้อ
จงตื่นตัวและปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับโลกที่เปลี่ยนไป เพื่อป้องกันความมั่งคั่งและเพิ่มโอกาสให้ตัวเอง
วิกฤตการเงินครั้งใหญ่ที่สุดกำลังจะมา!! ทำไมการถือเงินสดถึงเป็นกับดักที่อันตรายที่สุด???
โลกกำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤตการเงินครั้งใหญ่ ซึ่งแตกต่างจากวิกฤตในอดีตอย่างสิ้นเชิง ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่านี่ไม่ใช่แค่ฟองสบู่อสังหาฯ หรือตลาดหุ้นพังทลายแบบปี 2008 แต่เป็นวิกฤตเงินเฟ้อที่จะทำให้มูลค่าของเงินสดและพันธบัตรรัฐบาลล่มสลายลง
เงินสดคือกับดัก
ในวิกฤตปี 2008 (ภาวะเงินฝืด) การถือเงินสดคือกลยุทธ์ที่ดี เพราะราคาทรัพย์สินตก ทำให้มีโอกาสช้อนซื้อได้ แต่ในวิกฤตปัจจุบันที่กำลังจะเกิดขึ้น มูลค่าที่พังทลายคือตัวเงินเอง การถือเงินสดจึงเป็นความผิดพลาดที่อันตรายที่สุด
ฟองสบู่ที่แท้จริงคือหนี้รัฐบาล
สิ่งที่ถูกมองว่าปลอดภัยที่สุดกำลังเป็นฟองสบู่ที่แท้จริง นั่นคือหนี้รัฐบาลและสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่พองตัวจากการกู้ยืมมหาศาลและการพิมพ์เงินอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อรากฐานของระบบการเงินไม่มั่นคง ทุกสิ่งที่สร้างอยู่บนนั้นก็จะสั่นคลอน
นี่คือการที่ "ตลาดล่มสลายแบบกลับด้าน"
แทนที่จะเห็นราคาทรัพย์สินลดลงอย่างหนักเหมือนในอดีต เรากลับเห็นราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นั่นไม่ใช่เพราะสินทรัพย์เหล่านั้นมีค่าเพิ่มขึ้นมาก แต่เป็นเพราะ อำนาจซื้อของเงินที่เราใช้กำลังลดลงอย่างรวดเร็ว
นี่คือสัญญาณของการหนีเงินเฟ้อ
การที่ Bitcoin, ทองคำ, และหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่พุ่งทะยานอย่างรุนแรง ไม่ใช่ฟองสบู่ในสินทรัพย์เหล่านั้น แต่เป็นแหล่งที่เงินทุนไหลออก จากเงินสดที่กำลังเสื่อมค่า ผู้คนกำลังเปลี่ยนเงินไปเก็บในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า
วิกฤตนี้แย่กว่าปี 2008 เพราะไม่มีปุ่มรีเซ็ต
วิกฤตเงินเฟ้อที่ตัวเงินล่มสลายจะไม่มีโอกาสให้กลับไปเริ่มต้นใหม่ได้อีก คนที่ถือเงินสดรอการล่มสลายแบบเดิม จะไม่เจอโอกาสนั้น ทรัพย์สินหายากจะยิ่งแพงขึ้นจนคนทั่วไปเข้าไม่ถึงอย่างถาวร เงินออมจะถูกเงินเฟ้อกัดกินจนหมดตัว
ทางรอดเดียวคือการถือครองสินทรัพย์ที่ถูกต้อง
ผู้ชนะคือผู้ที่วิ่งแซงหน้าวิกฤตด้วยการถือครองสิ่งที่ไม่สามารถพิมพ์เพิ่มได้ดังนี้
1. สินทรัพย์หายากแบบดิจิทัล เช่น Bitcoin
2. โลหะมีค่า เช่น ทองคำ
3. ทรัพย์สินที่จับต้องได้ เช่น อสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมียม
4. ธุรกิจที่แข็งแกร่ง ที่มีกระแสเงินสดจริงและเติบโตไปพร้อมกับภาวะเงินเฟ้อ
จงตื่นตัวและปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับโลกที่เปลี่ยนไป เพื่อป้องกันความมั่งคั่งและเพิ่มโอกาสให้ตัวเอง