Austin Russell อดีตมหาเศรษฐี 100,000 ล้าน ที่เสียความมั่งคั่งไปเกือบทั้งหมด เพราะหุ้นร่วง -99% /โดย ลงทุนแมน

ย้อนกลับไปในปี 2020 “คุณ Austin Russell” นักธุรกิจหนุ่มวัย 25 ปี ถูกจัดอันดับให้เป็นมหาเศรษฐีที่สร้างกิจการด้วยตัวเอง ที่อายุน้อยสุดในโลก

เขาเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Luminar Technologies ที่พัฒนาเทคโนโลยีเซนเซอร์สำหรับติดตั้งในรถยนต์ไร้คนขับ ซึ่งถูกมองว่าจะเป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ในอนาคต

แต่เส้นทางของเขา กลับไม่ได้ราบรื่นอย่างที่หลายคนคิด
เมื่อบริษัทยังไม่สามารถทำเงินได้ตามที่คาดหวังมากนัก จนมูลค่าหุ้นร่วงลงกว่า -99%

และสุดท้าย คุณ Russell ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่ง CEO ของบริษัทตัวเอง..


มันเกิดอะไรขึ้นกับชายที่เคยถูกทั้งโลกจับตามอง ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง

https://www.facebook.com/share/p/1CbCe1QMEe/?mibextid=wwXIfr


คุณ Austin Russell เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกัน ปัจจุบันมีอายุ 30 ปี

ตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยม เขาได้รู้จักกับเทคโนโลยี Light Detection and Ranging หรือ LiDAR ระบบที่ใช้แสงเลเซอร์วัดระยะทางของวัตถุรอบตัว เพื่อนำข้อมูลมาประมวลผลเป็นแผนที่สามมิติ

คุณ Russell มองว่า LiDAR น่าจะเป็นเทคโนโลยีสำคัญในการตรวจจับวัตถุบนท้องถนน สำหรับรถยนต์ไร้คนขับที่หลายฝ่ายกำลังเริ่มพัฒนากันอยู่ในขณะนั้น

ด้วยความเชื่อนี้ เขาจึงก่อตั้งบริษัท Luminar Technologies ขึ้นมาในปี 2012 เพื่อพัฒนาอุปกรณ์เซนเซอร์ LiDAR

ซึ่งหลังจากนั้น Luminar ได้เจรจาเป็นพันธมิตรกับค่ายรถยนต์หลายราย เช่น Volvo, Toyota, Daimler

และต่อมาในเดือนธันวาคม ปี 2020 บริษัทก็ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ

จากการที่บริษัทมีเทคโนโลยีศักยภาพสูง จึงทำให้นักลงทุนสนใจเข้ามาซื้อหุ้น Luminar กันอย่างคึกคัก จนมูลค่าตลาดพุ่งขึ้นแตะระดับ 400,000 ล้านบาท

ส่งผลให้คุณ Russell ที่ถือหุ้นสัดส่วนราว 1 ใน 3 ของบริษัท มีมูลค่าทรัพย์สินส่วนตัวถึง 133,000 ล้านบาท ในช่วงเวลาหนึ่งเลยทีเดียว

ด้วยเหตุนี้ นิตยสาร Forbes เลยยกให้เขาเป็นมหาเศรษฐี หรือ Billionaire ที่สร้างกิจการด้วยตัวเอง ที่อายุน้อยสุดในโลก ด้วยวัยเพียง 25 ปีเท่านั้น

แต่หลังจากนั้น ชีวิตของคุณ Russell กลับต้องเจอปัญหาธุรกิจที่แสนสาหัส..

ในปัจจุบัน เซนเซอร์ LiDAR ของ Luminar ถูกใช้งานอย่างจริงจังในรถเพียงรุ่นเดียวคือ Volvo EX90 ซึ่งก็ยังไม่ใช่รถยนต์ไร้คนขับเต็มรูปแบบ

ขณะที่การทดสอบกับค่ายรถรายอื่น ก็ล่าช้าหรือยังไม่มีความชัดเจนว่าจะนำมาใช้จริงเมื่อใด

ประกอบกับ ผู้ผลิตรถยนต์บางรายมองว่า LiDAR มีต้นทุนสูงเกินไป เมื่อเทียบกับระบบเรดาร์และกล้อง ที่ใช้งานได้ดีอยู่แล้ว เช่น Tesla ที่ไม่ได้เลือกใช้ LiDAR

ผลคือ Luminar ยังไม่มีคำสั่งซื้อขนาดใหญ่ จึงทำให้รายได้ไม่เติบโตตามที่คาด และไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่าย จนบริษัทขาดทุนหนักมาอย่างต่อเนื่อง

ผลประกอบการของ Luminar Technologies
ปี 2023 รายได้ 2,200 ล้านบาท ขาดทุน 18,400 ล้านบาท
ปี 2024 รายได้ 2,400 ล้านบาท ขาดทุน 9,000 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน Luminar ยังมีหนี้สินรวมราว 16,500 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าทรัพย์สินที่มีอยู่ประมาณ 8,500 ล้านบาท

เมื่อสถานะการเงินตึงตัว บริษัทจึงต้องปรับลดพนักงานหลายรอบ จากเดิมที่มีอยู่ราว 800 คนในปี 2023 เหลือเพียงไม่ถึงครึ่งหนึ่งในปัจจุบัน

พอผลการดำเนินงานไม่สดใส เลยทำให้นักลงทุนหมดความเชื่อมั่นในอนาคตของบริษัท และเทขายหุ้นจนราคาร่วงลงกว่า -99% จากจุดสูงสุด

โดยปัจจุบัน Luminar มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 4,800 ล้านบาทเท่านั้น

ส่วนคุณ Russell เองก็ต้องลาออกจากตำแหน่ง CEO ในเดือนพฤษภาคม ปี 2025 หลังถูกคณะกรรมการบริษัทสอบสวนประเด็นด้านจริยธรรม ซึ่งไม่มีการเปิดเผยรายละเอียด

ด้วยเหตุนี้ ความมั่งคั่งของเขาจึงหายไปเกือบทั้งหมด โดยถือหุ้นเหลือเพียง 8.4% ของบริษัท คิดเป็นมูลค่าราว 420 ล้านบาท ไม่เพียงพอที่จะติดอันดับมหาเศรษฐีอีกต่อไป

แต่ไม่กี่เดือนหลังลาออก คุณ Russell ก็กลับมาพร้อมบริษัทใหม่ชื่อว่า Russell AI Labs ที่ก่อตั้งร่วมกับอดีตผู้บริหารของ Mercedes-Benz และ SoftBank

โดยได้ประกาศลงทุนในบริษัทเทคโนโลยี AI ชื่อว่า Emergence AI มูลค่า 9,700 ล้านบาท และเปิดแผนซื้อหุ้น Luminar กลับคืน พร้อมตั้งเป้าจะควบรวมกับบริษัทรถยนต์ระดับโลก เพื่อสร้าง Luminar 2.0 ขึ้นมาใหม่

แต่หลายฝ่ายก็มองว่า แผนนี้แทบเป็นไปไม่ได้ เพราะคุณ Russell หรือบริษัทใหม่ ไม่น่ามีเงินมากพอ หลังความมั่งคั่งลดลงอย่างหนัก

และเคยมีกรณีก่อนหน้านี้ ที่เขาเคยพยายามซื้อกิจการของนิตยสาร Forbes ด้วยเงินประมาณ 21,000 ล้านบาท แต่สุดท้ายดีลก็ล่ม เพราะไม่สามารถชำระเงินได้ตามกำหนด

เรื่องราวของคุณ Austin Russell คงเป็นบทเรียนที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจเทคโนโลยี

ถึงแม้ Luminar เคยถูกยกย่องว่าเป็นความหวังของวงการรถยนต์ไร้คนขับ แต่วันนี้กลับกลายเป็นบริษัทที่ยังขายอุปกรณ์ได้จำกัด และประสบปัญหาขาดทุนหนัก

เพราะสุดท้ายแล้ว ธุรกิจไม่ได้วัดกันว่า ใครมีเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมที่ดีเพียงอย่างเดียว

แต่ต้องเปลี่ยนมันให้เป็นเงินได้ด้วย ไม่เช่นนั้น ธุรกิจก็คงไม่สามารถอยู่รอดได้..

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่