ช่วงนี้รู้สึกอยากหลบความวุ่นวายในเมือง ไปสัมผัสธรรมชาติ เงียบ ๆ เย็น ๆ สักที่ เลยตั้งใจจะเดินทางไป ชุมชนบ้านป่าเหมี้ยง อ.แจ้ซ้อน จ.ลำปาง ที่ขึ้นชื่อเรื่องความสงบ วิถีชาวบ้าน และป่าเขาสมบูรณ์ ทริปนี้เลยตั้งใจจะเริ่มต้นแบบช้า ๆ สไตล์คนชอบการเดินทางและให้ประหยัดค่าใช้จ่ายมากที่สุด
โดยจะนั่งรถไฟจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ แล้วต่อรถตู้ไปแม่กำปอง ก่อนจะรอรถจากที่พักมารับเข้าสู่ ชุมชนบ้านป่าเหมี้ยง อีกทีถือเป็นทริปเล็ก ๆ ที่อยากไปใช้ชีวิตเรียบง่าย สูดอากาศดี ๆ และดูวิถีคนในชุมชนแท้ ๆ ในระยะเวลา 3 วัน 2 คืน
Day 1 : จากกรุงเทพฯ สู่วิถีช้า ๆ ผ่านแม่กำปอง ไปหลงป่าโฮมสเตย์
ทริปนี้พวกเรา 7 คน จองตั๋วจาก กรุงเทพฯ – เชียงใหม่ รอบ 20:05 น.แแล้วค่อยเดินทางต่อไปยังป่าเหมี้ยง บางคนจองรถไฟตู้นอน บางคนนั่งชั้น 2 ตามงบประมาณที่มี บรรยากาศบนรถไฟพวกเราตื่นเต้นกันมาก ความรู้สึกเหมือนตอนที่กำลังจะได้ไปเข้าค่าย ไม่นานรถไฟก็เริ่มเคลื่อน ทำให้ได้ยินยินเสียงของล้อเหล็กกระทบกับรางเป็นจังหวะ และด้านนอกแสงไฟในตัวเมืองก็ค่อย ๆ ห่างไป เหลือแค่ความมืดกับเสียงคุยเบา ๆ ของเพื่อน คืนนี้พวกเรานอนบนรถไฟ ในขบวนรถไฟชั้น 2 อากาศไม่ได้ร้อนมากแต่ตู้แอร์หนาวมาก **หากนั่งรถไฟชั้น 2 แนะนำให้พกแมส, เสื้อกันลม, สเปรย์กันยุง กันแมลง และฝุ่นเยอะมาก**

พวกเราตื่นกันตอนประมาณ 6 โมง บรรยากาศตอนเช้าต่างกับเมื่อคืนมาก ไม่ว่าจะเป็นวิวตอนที่ พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น หมอกยามเช้า นอกจากนี้เราได้ไปนั่งที่ตู้อาหาร มองดูวิวภูเขาผ่านหน้าต่างบริเวณสถานีขุนตาล - ลำปาง พร้อมกับจิบโอวัลติน นั่งไปเรื่อย ๆ ก็ถึงสถานีเชียงใหม่ตอน 08:40 น. แสงแดดยามเช้ากำลังดี ไม่ร้อนมาก อากาศเย็น ๆ แบบที่เราคิด ทุกคนแยกย้ายไปล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้ำที่สถานีรถไฟ คนละประมาณ 10 บาท เพื่อให้มีความสดชื่น ก่อนที่จะลุยกันต่อ

จากสถานีเชียงใหม่ เราเหมารถแดงไปที่ ตลาดวโรรส (กาดหลวง) เพื่อไปขึ้นรถตู้ต่อไปยังแม่กำปองเหมาคันละ 110 บาท รวม 7 คน ตกคนละ 16 บาทเอง ถูกมาก! ต่อจากนั้นก็นั่งรถตู้จากตลาดวโรรส ไปยังแม่กำปอง ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีก็ถึง ค่าโดยสารไป-กลับ คนละ 350 บาท ซึ่งถือว่าคุ้มมาก
วิวระหว่างทางคือดีสุด ๆ เส้นทางคดเคี้ยว ป่าไม้สีเขียวขจีตลอดสาย ทุกคนเงียบ เพราะดื่มด่ำกับวิวภูเขา บางคนก็หลับจากความเหนื่อยล้า ถึงแม่กำปองประมาณเที่ยงกว่า ๆ อากาศเย็นกำลังดี มีเสียงน้ำไหลจากลำธาร

มาถึงปุ๊บ ท้องร้องปั๊บ 555 เราตรงไปที่ร้านดังของแม่กำปองคือ “ข้าวซอยกรอยใจ” ร้านบ้านไม้ที่คนแน่นแทบทุกโต๊ะ เมนูเยอะจนเลือกไม่ถูก มีทั้งข้าวซอยน้ำ / ข้าวซอยแห้ง / ไส้อั่ว / ข้าวผัด / ข้าวจี่ /ข้าวปุกงา และเมนูที่ชื่อแปลกแต่ชวนลองมาก คือ “ชายอดน้ำค้าง” พอได้ลองสั่งปรากฏว่าทุกจานอร่อยหมด! โดยเฉพาะข้าวซอยแบบดั้งเดิม น้ำซุปมีความหอมเครื่องแกง เข้มข้น ส่วนข้าวซอยแห้งก็เผ็ดกำลังดี ไส้อั่วคือเด็ดแบบต้องซื้อกลับบ้าน นอกจากนี้ยังมีชายอดน้ำค้างที่ดื่มแล้วรู้สึกสดชื่น เหมือนนั่งอยู่ในป่าแล้วจิบชาเบา ๆ เราใช้เวลานั่งกินคุยกันประมาณ 40 นาที ก่อนที่จะเดินเล่นที่แม่กำปองรอรถจากที่พักมารับ

ช่วงบ่ายประมาณ 14:30 พี่เจ้าของที่พักมารับด้วยรถกระบะ พวกเรา 5 คน เลือกนั่งหลังกระบะ เพื่อถ่ายทอดบรรยากาศและนั่งชมธรรมชาติ เส้นทางจาก
แม่กำปองเข้าไปที่พักใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง วิวระหว่างทางคือสุดยอดจริง ๆ มีทั้งภูเขา น้ำตกเล็ก ๆ ข้างถนน หมอก และต้นไม้เรียงเต็มสองข้างทาง พอมาถึง ทุกคนพูดพร้อมกันว่า “โห ที่นี่สวยมาก! คิดไม่ผิดจริงๆ ที่เลือกมาตรงนี้” พวกเราเลือกพักที่“หลงป่า โฮมสเตย์”เป็นบ้านไม้หลังเล็ก ๆ อยู่กลางหุบเขา มีเสียงน้ำไหลข้างบ้านตลอดเวลา ค่าที่พักคืนละ 550 บาท/คน รวมข้าวเช้าและเย็น (เราพัก 2 คืน ตกคนละ 1,100 บาท) บอกเลยว่าคุ้มสุด หลังเก็บกระเป๋า เราออกเดินเล่นรอบ ๆ หมู่บ้านระหว่างทางเจอชาวบ้านกำลังเก็บผัก ทักทายกันแบบคนเหนือ “ไป๋ไหนมาเจ้า” ทุกคนยิ้มแย้ม เป็นมิตร และดูใช้ชีวิตแบบสงบจริง ๆ เราเดินเล่นวนรอบหมู่บ้าน ได้ไปเห็นน้ำผึ้งที่เก็บไว้ ต้นใบเหมี้ยงเล็กๆ ที่ชาวบ้านปลูกหน้าบ้าน จนกระทั่งตกเย็นมา วันนั้นพี่เจ้าของบ้านเตรียมอาหารเย็นไว้ให้ เป็นมื้อแบบโฮมเมดแท้ ๆเมนูมีทั้ง น้ำพริกอ่อง/ ผัดหน่อไม้ใส่ไข่/ ผักต้ม/ ต้มจืดฝักและแกงคล้ายฮังเล (รสคล้ายมัสมั่นแต่หอมเครื่องเทศแรงกว่า) จัดมาในรูปแบบขันโตก กินกับข้าวสวยร้อน ๆ ท่ามกลางอากาศเย็น ๆ

หลังมื้อเย็น เรานั่งคุยกันตรงระเบียงไม้ ฟังเสียงแมลงร้อง เสียงน้ำไหลเบา ๆ อากาศเย็นจนต้องคว้าเสื้อคลุมมาใส่ ลมพัดกลิ่นดินและไม้เข้ามาอ่อน ๆ ไม่มีเสียงรถ มีแต่เสียงน้ำไหล เสียงจิ้งหรีด และมีดาวเต็มท้องฟ้า ตอนนั้นเราต่างรู้เลยว่าการ “หลงป่า” ไม่ได้หมายถึงการหลงทาง แต่มันคือ “การได้หลงรักความเรียบง่ายของชีวิตอีกครั้ง” วันแรกผ่านไปแบบเต็มอิ่ม ทั้งการเดินทางยาว ๆ อาหารอร่อย วิวสวย และอากาศดีจนอยากหยุดเวลาไว้ตรงนั้น พรุ่งนี้จะเป็นวันที่เราได้ตื่นมาท่ามกลางหมอก เสียงนกร้อง และวิถีชีวิตช้า ๆ ของชาวบ้านป่าเหมี้ยง
DAY 2 : ตื่นรับแสงเช้า – จิบกาแฟท่ามกลางหมอก และเรียนรู้วิถีป่าเหมี้ยง
พวกเราตื่นขึ้นมาตอนประมาณ 05:40 น. อากาศเย็นมาก วันนี้พวกเรามีแพลนจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้น เลยรีบล้างหน้าแปรงฟันกัน แล้วออกเดินจากที่พักขึ้นไปบนเนินในหมู่บ้าน หวังจะหาจุดที่เห็นพระอาทิตย์ชัด ๆ แต่ระหว่างทาง…เรากลับเจอสิ่งที่น่าสนใจเช่นเดียวกับตามหาแสงอาทิตย์ยามเช้า คือ “ร้านกาแฟไร่ธีราวรรณ” ร้านเล็ก ๆ ซ่อนอยู่ท่ามกลางหมอกและต้นไม้ พวกเรารีบเข้าไปหาอะไรร้อนๆ ทานเพื่อคลายความหนาว ในร้านมีหลายเมนูแนะนำ พวกเราเลือกที่จะสั่งคนละเมนู เพื่อที่จะได้สลับกันลองชิม ทั้ง ชาไทย โกโก้ ชาใบเหมี้ยงที่พี่ๆแนะนำ และลาเต้ร้อน เพื่อนอีกคนสายกาแฟตัวจริง ได้ลอง “ดริปกาแฟเอง” ด้วย รสชาติของแต่ละแก้วคือดีมากกก โดยเฉพาะชาไทย เข้ม หอม มัน กลมกล่อมสุด ๆ พูดเลยว่า “ใครมาป่าเหมี้ยง ต้องมาลองชาไทยร้านนี้!”

เรานั่งอยู่ที่ร้านนี้กันยาวจนถึงประมาณ 07:20 น. เป็นเช้าที่เงียบสงบและมีความสุขที่สุดในรอบหลายเดือน หลังจากนั้นเราก็เดินลงมาช้า ๆ จากบนเนิน ระหว่างทางเจอชาวบ้านตื่นทำกับข้าว ขายผักหน้าบ้านและมีการขายใบเหมี้ยง ทุกคนยิ้มทักทายแบบอบอุ่น เราได้พูดคุยกับคุณตา คุณยาย และคุณน้าหลายคน ทุกคนเป็นมิตรจนรู้สึกเหมือนมาเยี่ยมญาติในต่างจังหวัด ก่อนกลับเราจึงแวะไหว้พระที่ “วัดป่าเหมี้ยง” เป็นวัดเล็ก ๆ กลางหมู่บ้าน เงียบสงบ มีต้นไม้ใหญ่ล้อมรอบ มีเสียงระฆังตอนเช้าเบา ๆ เข้ากับบรรยากาศแบบนี้จริง ๆ กลับมาถึงที่พัก คุณพี่เจ้าของที่พักก็เตรียมอาหารเช้าไว้ให้พร้อม เช้านี้มี ข้าวต้มร้อน ๆ ผัดผัก และผลไม้ตามฤดูกาลเรียบง่ายแต่เติมพลังสุด ๆ กินเสร็จก็อาบน้ำ พักผ่อนจนถึงประมาณ 10 โมงเช้า เพื่อที่จะเตรียมตัวไปเยี่ยม
“บ้านพี่หนุ่ม” เจ้าของร้านกาแฟและโฮมสเตย์ “คนบนดอย” ในหมู่บ้าน พี่หนุ่มพาเราเดินชมสวน ในสวนมีทั้งต้นใบเหมี้ยง , ต้นกาแฟอาราบิก้า และต้นอื่น ๆ ได้พี่หนุ่มได้ลองปลูก พร้อมทั้งอธิบายเรื่องใบเหมี้ยงแบบละเอียด ตั้งแต่ขั้นตอนการปลูก การเก็บเกี่ยว ว่า “ใบไหนถึงจะเด็ดได้ ใบไหนยังอ่อนเกินไป” หรือ “การเก็บลักษณะใบแบบไหนนำไปทำเป็นชาเขียว ชาขาวและชาดำ” ซึ่งทำให้รู้ได้เลยว่ากว่าจะได้ชาสักถ้วย ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย นอกจากนี้ยังมีต้นหนำเลี้ยบที่พวกเราตามหา ชาวบ้านจะเรียกต้นนี้ว่า “หมักใบ” พี่หนุ่มบอกว่า “ปีหนึ่งจะออกผลแค่ครั้งเดียว” ตอนเราไปยังไม่ออกผลเลยอดเห็น ทำให้แอบเสียดายเล็กน้อย เราเดินฟังเพลิน ๆ ไปจนถึงประมาณ 11:40 น. หลังจากที่เรากลับมาจากการเดินดูสวนกาแฟและชาแล้ว พี่หนุ่มยังสาธิตขั้นตอนการคั่วเมล็ดกาแฟแบบวิถีชาวบ้าน โดยเริ่มตั้งแต่เก็บผลสีแดงไปจนถึงการคั่ว บด และชงดื่มเอง! ทุกขั้นตอนต้องมีความใส่ใจ มีกลิ่นหอมของกาแฟขณะที่คั่วเต็มห้อง ตอนลองคั่วเองคือรู้สึกภูมิใจมาก ทำให้รู้สึกได้เลยว่าการคั่วกาแฟด้วยมือ ถือว่าเป็นซิกเนเจอร์ของที่นี่ แต่ละบ้านมีวิธีการเก็บกาแฟ การคั่วกาแฟที่ต่างกันออกไปอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยการคั่วกาแฟชาวบ้านจะนำมาปรับให้เข้ากับความชอบของตนเอง ซึ่งทำให้เกิดรสชาติที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละบ้าน

ช่วงเที่ยง พี่เจ้าของที่พักชวนพวกเราไปลองทำอาหารเหนือแบบพื้นบ้าน คือ “ยำใบเหมี้ยง” และ “หนอนใบชาทอด” เริ่มตั้งแต่การเตรียมวัตถุดิบต่าง ๆ จากนั้นก็ลงมือยำกันเอง ใช้ปลากระป๋อง พริก มะนาว หอมแดง รวมกับใบเหมี้ยง รสชาติจัดจ้านใช้ได้เลย! ถึงจะไม่เหมือนที่เคยกิน แต่แปลกใหม่และอร่อยไปอีกแบบ ส่วน “หนอนใบชา” ตอนแรกเรานึกว่าเป็นหนอนจริง ๆ แต่ไม่ใช่เลย! มันคือหมูเด้งปรุงรส พันกับใบเหมี้ยงแล้วเอาไปทอด กินตอนร้อน ๆ พร้อมกับจิ้มน้ำจิ้มไก่ หลังจากนั้นเราก็ล้อมวงกินข้าวกลางวันด้วยกัน ใช้เวลาไปเกือบชั่วโมงกว่า เป็นมื้อที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะปนความเหนื่อยล้า

มาถึงช่วงบ่ายของวันนี้เรามีการทำกิจกรรม “หมอนใบชา” ซึ่งหมอนใบชาเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นของหมู่บ้าน เกิดจากความตั้งใจของ
ชาวบ้านในการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นอย่างยั่งยืน โดยใช้ใบเหมี้ยงที่แก่ ซึ่งปลูกและเก็บในชุมชนมาแปรรูปเป็นหมอนเพื่อสุขภาพ ในตอนแรกชาวบ้านใช้ใบชาเพื่อดื่ม และทำเหมี้ยงหมัก แต่พอใบแก่แล้วทำให้ไม่สามารถนำมาทำชา เพราะทำให้รสชาติของชาเปลี่ยนไป ชาวบ้านจึงได้ศึกษา และเรียนรู้ว่า ใบเหมี้ยงแก่สามารถนำไปใช้ทำประโยชน์อย่างอื่นได้เช่นเดียวกัน เลยมีการปรับนำมาทำเป็นหมอนใบชา หรือตุ๊กตาหมอนใบชา ในทางด้านสุขภาพและเป็นของที่ระลึกให้กับนักท่องเที่ยว จึงเริ่มจัดกิจกรรมสอนทำ หมอนใบชา ให้นักท่องเที่ยว โดยปกติแล้วที่หมู่บ้านจะมี หมอนใบชา แบบสำเร็จรูปขาย สำหรับนักท่องเที่ยว แต่ในวันที่เราไป คุณแม่ในหมู่บ้านได้สอนให้เราทำ หมอนใบชาเอง ตั้งแต่ขั้นตอนแรก โดยเริ่มตั้งแต่ การตัดผ้า เย็บผ้า ใส่นุ่น ใส่ใบชา แล้วเย็บเชือกเพื่อใช้เป็นที่แขวน ฟังดูแล้วเหมือนง่าย แต่พวกเราใช้เวลาทั้งหมดไปกับการทำหมอนใบชารวมๆ แล้วเกือบ 3 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว ซึ่งในระหว่างที่เรากำลังนั่งทำหมอนใบชากันอยู่นั้น คุณแม่ที่สอนเราก็ได้บอกว่า เดี๋ยวแกมา แกขอไปตลาดก่อน ซึ่งตลาดที่แกหมายถึง ก็คือ จะมีคุณลุงขับมอเตอร์ไซค์ผ่านเราไป และลงของไว้ที่หน้าบ้านของตัวเอง ซึ่งของที่คุณลุงเอามาลงก็จะมีผักสดทั่วไป รวมถึงเนื้อสัตว์และ สิ่งต่างๆมากมาย หลังจากนั้นคุณแม่ก็รีบไปหยิบเงินและเดินไปตลาด เราทำหมอนใบชาเสร็จก็เป็นเวลาประมาณ 4 โมงครึ่ง

[CR] หนีเมืองไป “หลงป่า” ที่บ้านป่าเหมี้ยง ลำปาง
โดยจะนั่งรถไฟจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ แล้วต่อรถตู้ไปแม่กำปอง ก่อนจะรอรถจากที่พักมารับเข้าสู่ ชุมชนบ้านป่าเหมี้ยง อีกทีถือเป็นทริปเล็ก ๆ ที่อยากไปใช้ชีวิตเรียบง่าย สูดอากาศดี ๆ และดูวิถีคนในชุมชนแท้ ๆ ในระยะเวลา 3 วัน 2 คืน
Day 1 : จากกรุงเทพฯ สู่วิถีช้า ๆ ผ่านแม่กำปอง ไปหลงป่าโฮมสเตย์
ทริปนี้พวกเรา 7 คน จองตั๋วจาก กรุงเทพฯ – เชียงใหม่ รอบ 20:05 น.แแล้วค่อยเดินทางต่อไปยังป่าเหมี้ยง บางคนจองรถไฟตู้นอน บางคนนั่งชั้น 2 ตามงบประมาณที่มี บรรยากาศบนรถไฟพวกเราตื่นเต้นกันมาก ความรู้สึกเหมือนตอนที่กำลังจะได้ไปเข้าค่าย ไม่นานรถไฟก็เริ่มเคลื่อน ทำให้ได้ยินยินเสียงของล้อเหล็กกระทบกับรางเป็นจังหวะ และด้านนอกแสงไฟในตัวเมืองก็ค่อย ๆ ห่างไป เหลือแค่ความมืดกับเสียงคุยเบา ๆ ของเพื่อน คืนนี้พวกเรานอนบนรถไฟ ในขบวนรถไฟชั้น 2 อากาศไม่ได้ร้อนมากแต่ตู้แอร์หนาวมาก **หากนั่งรถไฟชั้น 2 แนะนำให้พกแมส, เสื้อกันลม, สเปรย์กันยุง กันแมลง และฝุ่นเยอะมาก**
พวกเราตื่นกันตอนประมาณ 6 โมง บรรยากาศตอนเช้าต่างกับเมื่อคืนมาก ไม่ว่าจะเป็นวิวตอนที่ พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น หมอกยามเช้า นอกจากนี้เราได้ไปนั่งที่ตู้อาหาร มองดูวิวภูเขาผ่านหน้าต่างบริเวณสถานีขุนตาล - ลำปาง พร้อมกับจิบโอวัลติน นั่งไปเรื่อย ๆ ก็ถึงสถานีเชียงใหม่ตอน 08:40 น. แสงแดดยามเช้ากำลังดี ไม่ร้อนมาก อากาศเย็น ๆ แบบที่เราคิด ทุกคนแยกย้ายไปล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้ำที่สถานีรถไฟ คนละประมาณ 10 บาท เพื่อให้มีความสดชื่น ก่อนที่จะลุยกันต่อ
จากสถานีเชียงใหม่ เราเหมารถแดงไปที่ ตลาดวโรรส (กาดหลวง) เพื่อไปขึ้นรถตู้ต่อไปยังแม่กำปองเหมาคันละ 110 บาท รวม 7 คน ตกคนละ 16 บาทเอง ถูกมาก! ต่อจากนั้นก็นั่งรถตู้จากตลาดวโรรส ไปยังแม่กำปอง ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีก็ถึง ค่าโดยสารไป-กลับ คนละ 350 บาท ซึ่งถือว่าคุ้มมาก
วิวระหว่างทางคือดีสุด ๆ เส้นทางคดเคี้ยว ป่าไม้สีเขียวขจีตลอดสาย ทุกคนเงียบ เพราะดื่มด่ำกับวิวภูเขา บางคนก็หลับจากความเหนื่อยล้า ถึงแม่กำปองประมาณเที่ยงกว่า ๆ อากาศเย็นกำลังดี มีเสียงน้ำไหลจากลำธาร
มาถึงปุ๊บ ท้องร้องปั๊บ 555 เราตรงไปที่ร้านดังของแม่กำปองคือ “ข้าวซอยกรอยใจ” ร้านบ้านไม้ที่คนแน่นแทบทุกโต๊ะ เมนูเยอะจนเลือกไม่ถูก มีทั้งข้าวซอยน้ำ / ข้าวซอยแห้ง / ไส้อั่ว / ข้าวผัด / ข้าวจี่ /ข้าวปุกงา และเมนูที่ชื่อแปลกแต่ชวนลองมาก คือ “ชายอดน้ำค้าง” พอได้ลองสั่งปรากฏว่าทุกจานอร่อยหมด! โดยเฉพาะข้าวซอยแบบดั้งเดิม น้ำซุปมีความหอมเครื่องแกง เข้มข้น ส่วนข้าวซอยแห้งก็เผ็ดกำลังดี ไส้อั่วคือเด็ดแบบต้องซื้อกลับบ้าน นอกจากนี้ยังมีชายอดน้ำค้างที่ดื่มแล้วรู้สึกสดชื่น เหมือนนั่งอยู่ในป่าแล้วจิบชาเบา ๆ เราใช้เวลานั่งกินคุยกันประมาณ 40 นาที ก่อนที่จะเดินเล่นที่แม่กำปองรอรถจากที่พักมารับ
ช่วงบ่ายประมาณ 14:30 พี่เจ้าของที่พักมารับด้วยรถกระบะ พวกเรา 5 คน เลือกนั่งหลังกระบะ เพื่อถ่ายทอดบรรยากาศและนั่งชมธรรมชาติ เส้นทางจาก
แม่กำปองเข้าไปที่พักใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง วิวระหว่างทางคือสุดยอดจริง ๆ มีทั้งภูเขา น้ำตกเล็ก ๆ ข้างถนน หมอก และต้นไม้เรียงเต็มสองข้างทาง พอมาถึง ทุกคนพูดพร้อมกันว่า “โห ที่นี่สวยมาก! คิดไม่ผิดจริงๆ ที่เลือกมาตรงนี้” พวกเราเลือกพักที่“หลงป่า โฮมสเตย์”เป็นบ้านไม้หลังเล็ก ๆ อยู่กลางหุบเขา มีเสียงน้ำไหลข้างบ้านตลอดเวลา ค่าที่พักคืนละ 550 บาท/คน รวมข้าวเช้าและเย็น (เราพัก 2 คืน ตกคนละ 1,100 บาท) บอกเลยว่าคุ้มสุด หลังเก็บกระเป๋า เราออกเดินเล่นรอบ ๆ หมู่บ้านระหว่างทางเจอชาวบ้านกำลังเก็บผัก ทักทายกันแบบคนเหนือ “ไป๋ไหนมาเจ้า” ทุกคนยิ้มแย้ม เป็นมิตร และดูใช้ชีวิตแบบสงบจริง ๆ เราเดินเล่นวนรอบหมู่บ้าน ได้ไปเห็นน้ำผึ้งที่เก็บไว้ ต้นใบเหมี้ยงเล็กๆ ที่ชาวบ้านปลูกหน้าบ้าน จนกระทั่งตกเย็นมา วันนั้นพี่เจ้าของบ้านเตรียมอาหารเย็นไว้ให้ เป็นมื้อแบบโฮมเมดแท้ ๆเมนูมีทั้ง น้ำพริกอ่อง/ ผัดหน่อไม้ใส่ไข่/ ผักต้ม/ ต้มจืดฝักและแกงคล้ายฮังเล (รสคล้ายมัสมั่นแต่หอมเครื่องเทศแรงกว่า) จัดมาในรูปแบบขันโตก กินกับข้าวสวยร้อน ๆ ท่ามกลางอากาศเย็น ๆ
หลังมื้อเย็น เรานั่งคุยกันตรงระเบียงไม้ ฟังเสียงแมลงร้อง เสียงน้ำไหลเบา ๆ อากาศเย็นจนต้องคว้าเสื้อคลุมมาใส่ ลมพัดกลิ่นดินและไม้เข้ามาอ่อน ๆ ไม่มีเสียงรถ มีแต่เสียงน้ำไหล เสียงจิ้งหรีด และมีดาวเต็มท้องฟ้า ตอนนั้นเราต่างรู้เลยว่าการ “หลงป่า” ไม่ได้หมายถึงการหลงทาง แต่มันคือ “การได้หลงรักความเรียบง่ายของชีวิตอีกครั้ง” วันแรกผ่านไปแบบเต็มอิ่ม ทั้งการเดินทางยาว ๆ อาหารอร่อย วิวสวย และอากาศดีจนอยากหยุดเวลาไว้ตรงนั้น พรุ่งนี้จะเป็นวันที่เราได้ตื่นมาท่ามกลางหมอก เสียงนกร้อง และวิถีชีวิตช้า ๆ ของชาวบ้านป่าเหมี้ยง
DAY 2 : ตื่นรับแสงเช้า – จิบกาแฟท่ามกลางหมอก และเรียนรู้วิถีป่าเหมี้ยง
พวกเราตื่นขึ้นมาตอนประมาณ 05:40 น. อากาศเย็นมาก วันนี้พวกเรามีแพลนจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้น เลยรีบล้างหน้าแปรงฟันกัน แล้วออกเดินจากที่พักขึ้นไปบนเนินในหมู่บ้าน หวังจะหาจุดที่เห็นพระอาทิตย์ชัด ๆ แต่ระหว่างทาง…เรากลับเจอสิ่งที่น่าสนใจเช่นเดียวกับตามหาแสงอาทิตย์ยามเช้า คือ “ร้านกาแฟไร่ธีราวรรณ” ร้านเล็ก ๆ ซ่อนอยู่ท่ามกลางหมอกและต้นไม้ พวกเรารีบเข้าไปหาอะไรร้อนๆ ทานเพื่อคลายความหนาว ในร้านมีหลายเมนูแนะนำ พวกเราเลือกที่จะสั่งคนละเมนู เพื่อที่จะได้สลับกันลองชิม ทั้ง ชาไทย โกโก้ ชาใบเหมี้ยงที่พี่ๆแนะนำ และลาเต้ร้อน เพื่อนอีกคนสายกาแฟตัวจริง ได้ลอง “ดริปกาแฟเอง” ด้วย รสชาติของแต่ละแก้วคือดีมากกก โดยเฉพาะชาไทย เข้ม หอม มัน กลมกล่อมสุด ๆ พูดเลยว่า “ใครมาป่าเหมี้ยง ต้องมาลองชาไทยร้านนี้!”
เรานั่งอยู่ที่ร้านนี้กันยาวจนถึงประมาณ 07:20 น. เป็นเช้าที่เงียบสงบและมีความสุขที่สุดในรอบหลายเดือน หลังจากนั้นเราก็เดินลงมาช้า ๆ จากบนเนิน ระหว่างทางเจอชาวบ้านตื่นทำกับข้าว ขายผักหน้าบ้านและมีการขายใบเหมี้ยง ทุกคนยิ้มทักทายแบบอบอุ่น เราได้พูดคุยกับคุณตา คุณยาย และคุณน้าหลายคน ทุกคนเป็นมิตรจนรู้สึกเหมือนมาเยี่ยมญาติในต่างจังหวัด ก่อนกลับเราจึงแวะไหว้พระที่ “วัดป่าเหมี้ยง” เป็นวัดเล็ก ๆ กลางหมู่บ้าน เงียบสงบ มีต้นไม้ใหญ่ล้อมรอบ มีเสียงระฆังตอนเช้าเบา ๆ เข้ากับบรรยากาศแบบนี้จริง ๆ กลับมาถึงที่พัก คุณพี่เจ้าของที่พักก็เตรียมอาหารเช้าไว้ให้พร้อม เช้านี้มี ข้าวต้มร้อน ๆ ผัดผัก และผลไม้ตามฤดูกาลเรียบง่ายแต่เติมพลังสุด ๆ กินเสร็จก็อาบน้ำ พักผ่อนจนถึงประมาณ 10 โมงเช้า เพื่อที่จะเตรียมตัวไปเยี่ยม
“บ้านพี่หนุ่ม” เจ้าของร้านกาแฟและโฮมสเตย์ “คนบนดอย” ในหมู่บ้าน พี่หนุ่มพาเราเดินชมสวน ในสวนมีทั้งต้นใบเหมี้ยง , ต้นกาแฟอาราบิก้า และต้นอื่น ๆ ได้พี่หนุ่มได้ลองปลูก พร้อมทั้งอธิบายเรื่องใบเหมี้ยงแบบละเอียด ตั้งแต่ขั้นตอนการปลูก การเก็บเกี่ยว ว่า “ใบไหนถึงจะเด็ดได้ ใบไหนยังอ่อนเกินไป” หรือ “การเก็บลักษณะใบแบบไหนนำไปทำเป็นชาเขียว ชาขาวและชาดำ” ซึ่งทำให้รู้ได้เลยว่ากว่าจะได้ชาสักถ้วย ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย นอกจากนี้ยังมีต้นหนำเลี้ยบที่พวกเราตามหา ชาวบ้านจะเรียกต้นนี้ว่า “หมักใบ” พี่หนุ่มบอกว่า “ปีหนึ่งจะออกผลแค่ครั้งเดียว” ตอนเราไปยังไม่ออกผลเลยอดเห็น ทำให้แอบเสียดายเล็กน้อย เราเดินฟังเพลิน ๆ ไปจนถึงประมาณ 11:40 น. หลังจากที่เรากลับมาจากการเดินดูสวนกาแฟและชาแล้ว พี่หนุ่มยังสาธิตขั้นตอนการคั่วเมล็ดกาแฟแบบวิถีชาวบ้าน โดยเริ่มตั้งแต่เก็บผลสีแดงไปจนถึงการคั่ว บด และชงดื่มเอง! ทุกขั้นตอนต้องมีความใส่ใจ มีกลิ่นหอมของกาแฟขณะที่คั่วเต็มห้อง ตอนลองคั่วเองคือรู้สึกภูมิใจมาก ทำให้รู้สึกได้เลยว่าการคั่วกาแฟด้วยมือ ถือว่าเป็นซิกเนเจอร์ของที่นี่ แต่ละบ้านมีวิธีการเก็บกาแฟ การคั่วกาแฟที่ต่างกันออกไปอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยการคั่วกาแฟชาวบ้านจะนำมาปรับให้เข้ากับความชอบของตนเอง ซึ่งทำให้เกิดรสชาติที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละบ้าน
ช่วงเที่ยง พี่เจ้าของที่พักชวนพวกเราไปลองทำอาหารเหนือแบบพื้นบ้าน คือ “ยำใบเหมี้ยง” และ “หนอนใบชาทอด” เริ่มตั้งแต่การเตรียมวัตถุดิบต่าง ๆ จากนั้นก็ลงมือยำกันเอง ใช้ปลากระป๋อง พริก มะนาว หอมแดง รวมกับใบเหมี้ยง รสชาติจัดจ้านใช้ได้เลย! ถึงจะไม่เหมือนที่เคยกิน แต่แปลกใหม่และอร่อยไปอีกแบบ ส่วน “หนอนใบชา” ตอนแรกเรานึกว่าเป็นหนอนจริง ๆ แต่ไม่ใช่เลย! มันคือหมูเด้งปรุงรส พันกับใบเหมี้ยงแล้วเอาไปทอด กินตอนร้อน ๆ พร้อมกับจิ้มน้ำจิ้มไก่ หลังจากนั้นเราก็ล้อมวงกินข้าวกลางวันด้วยกัน ใช้เวลาไปเกือบชั่วโมงกว่า เป็นมื้อที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะปนความเหนื่อยล้า
มาถึงช่วงบ่ายของวันนี้เรามีการทำกิจกรรม “หมอนใบชา” ซึ่งหมอนใบชาเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นของหมู่บ้าน เกิดจากความตั้งใจของ
ชาวบ้านในการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นอย่างยั่งยืน โดยใช้ใบเหมี้ยงที่แก่ ซึ่งปลูกและเก็บในชุมชนมาแปรรูปเป็นหมอนเพื่อสุขภาพ ในตอนแรกชาวบ้านใช้ใบชาเพื่อดื่ม และทำเหมี้ยงหมัก แต่พอใบแก่แล้วทำให้ไม่สามารถนำมาทำชา เพราะทำให้รสชาติของชาเปลี่ยนไป ชาวบ้านจึงได้ศึกษา และเรียนรู้ว่า ใบเหมี้ยงแก่สามารถนำไปใช้ทำประโยชน์อย่างอื่นได้เช่นเดียวกัน เลยมีการปรับนำมาทำเป็นหมอนใบชา หรือตุ๊กตาหมอนใบชา ในทางด้านสุขภาพและเป็นของที่ระลึกให้กับนักท่องเที่ยว จึงเริ่มจัดกิจกรรมสอนทำ หมอนใบชา ให้นักท่องเที่ยว โดยปกติแล้วที่หมู่บ้านจะมี หมอนใบชา แบบสำเร็จรูปขาย สำหรับนักท่องเที่ยว แต่ในวันที่เราไป คุณแม่ในหมู่บ้านได้สอนให้เราทำ หมอนใบชาเอง ตั้งแต่ขั้นตอนแรก โดยเริ่มตั้งแต่ การตัดผ้า เย็บผ้า ใส่นุ่น ใส่ใบชา แล้วเย็บเชือกเพื่อใช้เป็นที่แขวน ฟังดูแล้วเหมือนง่าย แต่พวกเราใช้เวลาทั้งหมดไปกับการทำหมอนใบชารวมๆ แล้วเกือบ 3 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว ซึ่งในระหว่างที่เรากำลังนั่งทำหมอนใบชากันอยู่นั้น คุณแม่ที่สอนเราก็ได้บอกว่า เดี๋ยวแกมา แกขอไปตลาดก่อน ซึ่งตลาดที่แกหมายถึง ก็คือ จะมีคุณลุงขับมอเตอร์ไซค์ผ่านเราไป และลงของไว้ที่หน้าบ้านของตัวเอง ซึ่งของที่คุณลุงเอามาลงก็จะมีผักสดทั่วไป รวมถึงเนื้อสัตว์และ สิ่งต่างๆมากมาย หลังจากนั้นคุณแม่ก็รีบไปหยิบเงินและเดินไปตลาด เราทำหมอนใบชาเสร็จก็เป็นเวลาประมาณ 4 โมงครึ่ง
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น