ยุทธการซื้อหุ้นคืน สู่ศึกศักดิ์ศรี! เกมอำนาจ GULF vs KBANK ใครถือไพ่เหนือกว่า?

KEY POINTS
เมื่อจดหมายหนึ่งฉบับอาจจุดไฟระหว่าง KBANK ปะทะ GULF!

เบื้องหลังเกมที่ดูโปร่งใส อาจซ่อน "สงครามเงียบ" เพื่อป้องกันการยึดอำนาจในอนาคต

นี่คือจุดตัดระหว่าง ธรรมาภิบาล กับการรักษาบัลลังก์อำนาจ ที่ทั้งตลาดต้องจับตา!

ในโลกที่เงินตราและความสัมพันธ์คืออำนาจสูงสุด!!
เมื่อ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ประกาศโครงการ "ซื้อหุ้นคืน" เริ่มต้นเหมือนข่าวธุรกิจธรรมดา แทบไม่มีใครแปลกใจ นี่คือเรื่องปกติในโลกของการบริหารทุน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมา...กลับไม่ธรรมดาเลย

"จดหมาย" ถูกส่งถึงผู้ถือหุ้นรายใหญ่อย่าง "บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) หรือ GULF" ขอความร่วมมือ... 'งดขายหุ้น' ในช่วงเวลาที่ธนาคารจะซื้อหุ้นคืน!

นี่คือเรื่องที่แปลกและผิดปกติวิสัย เพราะถ้าทุกอย่างเป็นไปอย่างปกติ ด้วยความสัมพันธ์ของสองยักษ์ใหญ่ ไม่จำเป็นต้องส่งจดหมายเลยด้วยซ้ำ
การเคลื่อนไหวที่สร้างความฉงนนี้ได้จุดชนวนต่อม "เอ๊ะ!" และอาจต้องตั้งข้อสังเกตุถึงเบื้องลึกเบื้องหลังที่อาจซับซ้อนกว่าที่เห็น ระหว่างเจตนาทางธุรกิจที่แท้จริงกับความหวาดระแวงในการสูญเสียอำนาจควบคุม

ดังจะเห็นได้ว่า การที่ GULF เข้ามาลงทุนใน KBANK แม้ช่วงแรกของการเข้ามาซื้อเป็นเพียงการซื้อมาขายไป แต่เพียงไม่นานกลับกลายเป็นซื้อเพื่อถือลงทุนต่อเนื่อง จนขึ้นมาติดอันดับ 5 ถือหุ้นจำนวน 107,342,600 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 4.53% 

ขณะที่ฝั่ง "ตระกูลล่ำซำ" ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งธนาคารกสิกรไทยนั้น กลับไม่ปรากฎรายชื่อติด 1 ใน 10 อันดับผู้ถือหุ้นใหญ่แต่อย่างใด
หรือแม้แต่ "คุณปั้น" บัณฑูร ล่ำซำ หัวเรือใหญ่ที่นำพาธนาคารกสิกรไทยฝ่าวิกฤติต้มยำกุ้ง พร้อมรื้อระบบและปรับภาพลักษณ์องค์กรครั้งใหญ่ ในปัจจุบันไม่มีการถือหุ้น KBANK แต่อย่างใด

และเป็นที่ทราบกันดีว่าตระกูลล่ำซำ หันหัวเรือเข้าสู่ธุรกิจประกันภัย โดยถือหุ้นใหญ่ "บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ MTI" บริษัทรับประกันวินาศภัย ได้แก่ การรับประกันอัคคีภัย การรับประกันภัยทางทะเลและขนส่ง การรับประกันภัยรถยนต์ และการรับประกันภัยเบ็ดเตล็ด
โดยคุณปั้น ถือหุ้น MTI ในนามส่วนตัว จำนวน 504,716 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 0.86%

10 อันดับผู้ถือหุ้นใหญ่ KBANK
บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด จำนวน 324,517,651 หุ้น คิดเป็น 13.70%
STATE STREET EUROPE LIMITED จำนวน 193,651,041 หุ้น คิดเป็น  8.17%
SOUTH EAST ASIA UK (TYPE C) NOMINEES LIMITED จำนวน 119,822,544 หุ้น คิดเป็น 5.06%
STATE STREET BANK AND TRUST COMPANY จำนวน 114,732,014 หุ้น คิดเป็น 4.84%
บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 107,342,600 หุ้น คิดเป็น 4.53%
สำนักงานประกันสังคม จำนวน 78,434,100 หุ้น คิดเป็น 3.31%
THE BANK OF NEW YORK MELLON จำนวน 69,648,219 หุ้น คิดเป็น 2.94%
SOUTH EAST ASIA UK (TYPE A) NOMINEES LIMITED จำนวน 52,807,003 หุ้น คิดเป็น 2.23%
บริษัท ทุนลดาวัลย์ จำกัด จำนวน 44,447,000 หุ้น คิดเป็น 1.88%
กองทุนรวม วายุภักษ์หนึ่ง จำนวน 41,890,800 หุ้น คิดเป็น 1.77%

แม้ในวันที่ 3 พ.ย.2568 ที่ผ่านมา KBANK ออกประกาศอีกครั้งว่า... ผู้ถือหุ้นที่มิใช่บุคคลภายในกลุ่มธนาคาร ได้แก่ กรรมการ ผู้จัดการ รองผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการ ผู้ซึ่งมีตำแหน่งเทียบเท่าที่เรียกชื่ออย่างอื่น ผู้มีอำนาจในการจัดการของสถาบันการเงิน
และผู้ที่เกี่ยวข้อง "ยังคงมีสิทธิและยังสามารถใช้ดุลพินิจโดยอิสระในการที่จะพิจารณาซื้อหรือขายหุ้นของธนาคารได้ตลอดเวลาตามความประสงค์ของผู้ถือหุ้นในการลงทุน" 
ง่ายๆคือ GULF สามารถซื้อขายหุ้นได้ตามอิสระนั่นเอง!

กลับมาที่ "GULF" การเข้ามาถือหุ้นใหญ่ KBANK จนติดอันดับ 5 อาจไม่ได้มาเพื่อ "เก็งกำไร" เหมือนเคยหรือขายหุ้นทิ้งเมื่อมีโครงการซื้อคืน เพราะธนาคารแห่งนี้เป็น "ทางเดียว" ที่เหมาะสมในการต่อยอดธุรกิจการเงิน
เนื่องจากเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่มีความเป็น Digital สูง สามารถสร้าง Synergy เชื่อมโยงธุรกิจในเครือของ "สารัชถ์ รัตนาวดี" โดยเฉพาะโครงการ Virtual Bank ที่กำลังดำเนินการอยู่ 

ครั้นจะถึงขั้นเชื่อมโยงธุรกิจได้นั้น GULF จำเป็นต้องร่วมนั่งบริหารจริงจังและมีส่วนร่วมกำหนดทิศทางเชิงกลยุทธ์ ซึ่งทางเดียวที่ทำได้คือต้องถือหุ้นเกิน 10% แต่ถึงกระนั้นท่าทีของผู้บริหาร GULF ไม่ได้บ่งชี้ว่าต้องการแทรกแซงการทำงาน
เมื่อพิจารณาจากเจตนาเชิงธุรกิจที่จริงจังนี้ การได้รับจดหมายขอความร่วมมือไม่ให้ขายหุ้น จึงถูกมองว่าเป็น "สิ่งผิดปกติ" หรือเป็น "สิ่งแปลก" ที่ไม่ควรเกิดขึ้น

ทางแยกระหว่างธรรมาภิบาล หรือ เกมป้องกันเทคโอเวอร์?
การส่งจดหมายที่ดูแปลกนี้สามารถตีความออกเป็นสองมุมมองที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง

มุมมองแรก คือ การแสดงความบริสุทธิ์ใจ (Positive Governance) ให้น้ำหนักมากกว่า 50%
การให้ความสำคัญกับหลักธรรมาภิบาล (Good Governance) ธนาคารเลือกที่จะดำเนินการเช่นนี้เพราะต้องการแสดงความบริสุทธิ์ใจของคณะผู้บริหารและบอร์ดบริหารของธนาคาร ที่มีประวัติการทำงานที่ "โปร่งใส" มองได้ว่าการตัดสินใจนี้เพียงต้องการให้โครงการซื้อหุ้นคืนนี้ ไม่ถูกมองว่าเอื้อประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่

เพื่อประโยชน์รายย่อย: ธนาคารต้องการให้แน่ใจว่าผลประโยชน์จากโครงการซื้อหุ้นคืนนี้จะถึงมือผู้ถือหุ้นรายย่อยอย่างแท้จริง
ป้องกันความเข้าใจผิด: เป็นการประกาศให้โลกรู้ว่าโครงการนี้ "ไม่ได้ทำมาเพื่อ" ผู้ถือหุ้นรายใหญ่
ลดกระแสวิจารณ์: หากไม่ประกาศอะไรเลย แล้วผู้ถือหุ้นรายใหญ่ตัดสินใจขายหุ้นออกมา อาจเกิดกระแสความไม่เชื่อถือจากนักลงทุนสถาบันต่างประเทศว่าธนาคารร่วมมือกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่
เพราะในโลกของธนาคารใหญ่ ความน่าเชื่อถือคือทุกสิ่ง "การส่งจดหมาย" จึงเป็นกลไกที่ช่วยให้แผนซื้อหุ้นคืนของธนาคารดู "โปร่งใส" แม้จะดูแปลกในทางปฏิบัติ แต่เป็นเหมือนการตัดไฟแต่ต้นลม
มุมมองที่สอง 'ความระแวง และป้องกันอำนาจควบคุม'
ในอีกมุมหนึ่ง อาจเป็นการส่งสัญญาณใน "เกมแห่งอำนาจ" หรือเป็นความพยายามที่จะหลีกเลี่ยง "Unfriendly Match" เพราะผู้บริหารกลัวที่จะสูญเสียอำนาจควบคุม

จุดอ่อนสำคัญ : ธนาคารนี้ไม่มีผู้ถือหุ้นรายใดถือครองเสียงข้างมากอย่างแท้จริง หาก GULF เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นถึง 10% และใช้ความสัมพันธ์ที่ดีกับนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ ดึงเสียงสนับสนุนมาอยู่ฝั่งตนได้ อำนาจในบอร์ดอาจพลิกได้เพียงชั่วข้ามคืน! อมยิ้ม11
และเมื่อถึงตอนนั้น... ตระกูลผู้บริหารปัจจุบันอาจถูก "เบียด" ออกจากบัลลังก์ 
และนี่อาจเป็นจดหมายป้องกันเกมยึดอำนาจ...มากกว่าการแสดงความโปร่งใส

จับตาเกมรุกรับ และทางออกสุดท้าย
หากเกมนี้ถูกกำหนดให้เป็นศึกแห่งอำนาจอย่างแท้จริง ทางออกเดียวที่ผู้บริหารธนาคารจะสามารถ "แก้เกม" ได้ด้วยการ Management Buy Back นั่นคือ ฝ่ายบริหารต้องลงสนาม หาเงินมาซื้อหุ้นเพิ่ม เพื่อรวบรวมเสียงสนับสนุนและรักษาเก้าอี้ของตนไว้ นั่นอาจหมายถึงการใช้เงินอย่างมหาศาล
ถามว่า นี่ใช่ทฤษฎีสมคบคิดที่ซับซ้อนเพื่อดันราคาหุ้นหรือไม่ ? คำตอบคืออาจจะไม่! มันคือเกมที่เดิมพันด้วย ศักดิ์ศรีและอำนาจ เกมที่ไม่มีพื้นที่ให้ความลังเล เพราะทุกการเคลื่อนไหวล้วนน่าจับตามอง

นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของหุ้น ไม่ใช่แค่เกมทางการเงิน แต่มันคือ "การต่อสู้ทางจิตวิทยา" ระหว่างความโปร่งใสกับความหวาดระแวง ระหว่างธรรมาภิบาลกับการป้องกันอำนาจ 

และในขณะที่ทุกฝ่ายยังคงเงียบ...ตลาดกำลังรอฟังว่า ใครจะ "ขยับก่อน" เพราะในสงครามทางการเงิน ผู้ที่นิ่งเกินไป...อาจกำลังซ่อนหมากที่แรงที่สุดไว้ใต้โต๊ะ.



แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่