เจน Z รุ่นแรกของจีน ที่ออกบวชหนีโลก ทยอย ‘สึก’ กลับมาสู้ชีวิต
.
ขณะที่คนจีนเจน Z ผู้เกิดหลังปี 2000 จีนส่วนใหญ่ยังพูดติดตลกกว่า"อยากลาไปบวช" แต่รู้ไหมว่ามีชาวเจน Z บางคนที่เคยออกบวชและเริ่ม "สึก" ออกมาหางานทำแล้ว…
.
"จบป.ตรีการค้าระหว่างประเทศ ทำงานวิศวกรในบริษัทมหาชน 1 ปี เป็นเฮดฮันเตอร์ 6 เดือน ก่อนออกบวช 1 ปี ตอนนี้สึกแล้ว มีบริษัทในเซี่ยงไฮ้สนใจรับเข้าทำงานไหมครับ ทำได้ทุกอย่าง"
.
นี่คือโพสต์หางานที่ "เจียอี้" หนุ่มจีนวัย 25 ปี โพสต์ลงบนโซเชียลมีเดียเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา คอมเมนต์ที่หลั่งไหลเข้ามาสะท้อนความกังวลของคนรุ่นใหม่ในตลาดงานอย่างชัดเจน เช่น "ทำไมออกจากที่เก่า” “ขอเช็กประวัติได้ไหม" "คุณย้ายงานบ่อยไปไหม" หรือ "ออกมาหางานผิดเวลาสุดๆ"
.
บางคนถึงกับแนะนำให้เขาไปเป็น "อาจารย์รับปลุกเสก" หรือ "รับดูดวง" แต่เขาก็ตอบกลับอย่างอารมณ์ดีว่า "นั่นมันงานของนักพรตเต๋านะครับ"
.
สุดท้าย เขาไม่ได้งานที่เซี่ยงไฮ้ แต่กลับได้ข้อเสนอจากสตาร์ตอัปด้านจิตบำบัดในกว่างโจว เขาจึงตัดสินใจทิ้งชีวิตในวัดเล็กๆ บนภูเขา กลับสู่เมืองอีกครั้ง และกลายเป็นบล็อกเกอร์บอกเล่าประสบการณ์ "บวชแล้วสึก" ที่ดึงดูดคนรุ่นใหม่ที่กำลังสับสนในชีวิต
.
เจียอี้บอกว่า "ที่ไปบวช เพราะมีคำถามกับชีวิตที่คิดไม่ตก และที่สึกก็เพราะรู้สึกว่าตัวเองควรจะต้องทำงาน"
.
1️⃣ ทำไมถึง "บวช"
.
ย้อนกลับไปปี 2023 เจียอี้ในวัย 23 ปี เพิ่งลาออกจากบริษัทใหญ่ เขารู้สึก "หลงทาง" และ "หมดไฟ" ตอนนั้นเขาใช้ชีวิตด้วยเงินเก็บไปวันๆ จนกระทั่งไปเจอวิดีโอ "นั่งสมาธิฟรี ที่พักฟรี อาหารฟรี" เขาคิดแค่ว่า "ก็เหมือนไปเที่ยวฟรี" แต่การไปภาวนาครั้งนั้นกลับทำให้เขาพบ "ความสงบในจิตใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน"
.
การภาวนาเปลี่ยนชีวิตและความคิดของเขา หนึ่งคือทำให้เขากลับมามีไฟและได้งานใหม่เป็นเฮดฮันเตอร์ที่เซี่ยงไฮ้ สองคือเขาเริ่มสนใจพุทธศาสนาอย่างจริงจัง
.
แต่ทว่าการกลับเข้าสู่โลกการทำงานก็ตอกย้ำปัญหาเดิมๆ เขาเคยทำงานแบบ 7 วันต่อสัปดาห์ในบริษัทใหญ่ ได้เงินเดือน 5,000 หยวน (ราว 23,000 บาท) แม้ทำผลงานทะลุเป้า แต่กลับได้เงินน้อยกว่าเด็กใหม่ที่เขาต้องเป็นคนสอนงานเสียอีก แถมบริษัทยังอ้างว่า "มันเป็นระบบ"
.
นอกจากนี้ตอนเป็นเฮดฮันเตอร์ เขาพบว่าไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือคนจน ทุกคนในวัย 30 กว่า ต่างก็วิตกกังวลเรื่องเดียวกัน นั่นคือการซื้อบ้าน ซื้อรถ และแต่งงานในเซี่ยงไฮ้ "ผมมองไม่เห็นอนาคตเลยว่าอีก 10 ปีผมจะเป็นยังไง" เจียอี้กล่าว
.
มีช่วงหนึ่งที่เขามีปัญหาเรื่องครอบครัว ทำให้เขาต้องกลับไปที่บ้านเกิด และได้ไปอยู่วัดที่อู่ไถซาน (五台山) 100 วัน ที่นั่น พระหลายรูปต่างมาชักชวนให้เขาบวช โดยบอกว่า "วัดขาดคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้" และ "คุณทั้งเรียนสูงแถมได้ภาษาต่างประเทศ" ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้ออฟเฟอร์จากบริษัทยักษ์ใหญ่ เขาจึงตัดสินใจบวชเพื่อหา "คำตอบ" ของชีวิต
.
2️⃣ ชีวิตในวัด
.
ชีวิตในวัดเล็กๆ บนภูเขาที่ห่างไกลนั้นเรียบง่าย ตื่น 4:30 น. ทำวัตรเช้า นั่งสมาธิ กินข้าว ทำวัตรเย็น และนอน 3 ทุ่ม "สุขภาพดีกว่าตอนทำงานเสียอีก" เขากล่าว อาจารย์ของเขาให้คำมั่นว่า "ถ้าเจ้าป่วย ข้าจะรักษาเจ้าเอง"
.
เจียอี้เรียนรู้ว่า "การปฏิบัติธรรม" คือการจดจ่อกับปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการนั่งสมาธิ หรือแม้แต่การตัดฟืน เขาเคยให้สติพระรูปหนึ่งที่บ่นเรื่องมีคนเข้าห้องน้ำแล้วไม่ยอมกดชักโครก ว่า "สำหรับท่าน (การไม่บ่น) นี่ก็คือการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่งนะ"
.
แต่เขาก็ย้ำว่าวัดไม่ใช่แดนสวรรค์ เพราะมีการเมืองและความไม่เท่าเทียมแทรกซึมอยู่ โดยวัดเล็กก็เหมือนบริษัทเล็กที่การเมืองน้อย ส่วนวัดใหญ่ที่เงินสะพัดก็เหมือนบริษัทใหญ่ที่เรื่องเยอะกว่า
.
เจียอี้กล่าวด้วยว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่พระในวัดใหญ่ๆ บางรูปจะมีรายได้เกิน 10,000 หยวน (ประมาณ 46,000 บาท) ต่อเดือน
.
เขายังสังเกตเห็นว่าแม่ชีมักจะต้องเป็นฝ่ายรับใช้พระ และมีรายได้น้อยกว่ามาก จนบางครั้งลำบากแม้กระทั่งการซื้อผ้าอนามัย เจียอี้จึงบริจาคเงินเก็บทั้งหมดของเขาเพื่อช่วยเหลือแม่ชีเหล่านี้ โดยคิดว่า "เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง"
.
3️⃣ สึกกลับมาสู้ต่อ
.
เจียอี้ตัดสินใจสึกใน "ชั่วพริบตา" หลังเขารู้สึกว่า "ถึงเวลาแล้ว" ที่จะต้องกลับไปทำงาน เขากลับมาอยู่ในห้องเช่าเล็กๆ ใน "ตึกจับมือ" (ตึกที่สร้างแออัดติดกัน) ในกว่างโจว แต่เขากลับรู้สึก "พอใจ" มากกว่าตอนอยู่ห้องหรูในเซี่ยงไฮ้เสียอีก
.
"ตัวผมลงจากเขา แต่ใจยังไม่ลง” เขาพบว่าการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ "การไม่ถูกอารมณ์ครอบงำ" และ "การรู้จักพอ" และการทำงานก็คือการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง เขาเปรียบเทียบชีวิตการทำงานกับการบวชไว้ว่า "ในวัด ผมต้องตื่นตามเวลามาสวดมนต์ ที่ทำงาน ผมก็ต้องส่งโปรเจกต์ให้ทันเวลา มันต่างกันตรงไหน"
.
เจียอี้กลับมากินเนื้ออีกครั้ง (พระจีนไม่กินเนื้อสัตว์) เพราะต้องใช้พลังงานในการ "ระดมสมอง 10 ชั่วโมงต่อวัน" และลดการนั่งสมาธิลง เพราะพบว่ามันส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน
.
มีคนล้อเขาว่า "ที่แท้พระก็ถูกงานสูบพลังเหมือนกัน" แต่เขาตอบว่า "ถ้าแค่ปัญหาการทำงานเล็กๆ ยังสามารถทำให้ผมล้มได้ แล้วที่ผ่านมาผมไปปฏิบัติธรรมมาอีท่าไหนกัน"
.
เจียอี้สรุปว่าบ่อเกิดของความทุกข์ทั้งหมดมาจาก 'การไขว่คว้าในสิ่งที่ตนไม่มี' ดังนั้น การทำปัจจุบันให้ดีที่สุด สำคัญกว่าการกังวลเรื่องอนาคต
.
เรื่องราวของเขาสะท้อนภาพคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้หนีโลกอย่างถาวร แต่กำลังใช้ "การบวช" เป็นเครื่องมือในการ "หยุดพัก" เพื่อทำความเข้าใจตัวเอง ก่อนจะกลับมา "สู้" ในโลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง ด้วยมุมมองที่เปลี่ยนไป
.
#บวชพระ #วัดจีน #เต๋า
🇨🇳🛕 เจน Z รุ่นแรกของจีน ที่ออกบวชหนีโลก ทยอย ‘สึก’ กลับมาสู้ชีวิต
.
ขณะที่คนจีนเจน Z ผู้เกิดหลังปี 2000 จีนส่วนใหญ่ยังพูดติดตลกกว่า"อยากลาไปบวช" แต่รู้ไหมว่ามีชาวเจน Z บางคนที่เคยออกบวชและเริ่ม "สึก" ออกมาหางานทำแล้ว…
.
"จบป.ตรีการค้าระหว่างประเทศ ทำงานวิศวกรในบริษัทมหาชน 1 ปี เป็นเฮดฮันเตอร์ 6 เดือน ก่อนออกบวช 1 ปี ตอนนี้สึกแล้ว มีบริษัทในเซี่ยงไฮ้สนใจรับเข้าทำงานไหมครับ ทำได้ทุกอย่าง"
.
นี่คือโพสต์หางานที่ "เจียอี้" หนุ่มจีนวัย 25 ปี โพสต์ลงบนโซเชียลมีเดียเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา คอมเมนต์ที่หลั่งไหลเข้ามาสะท้อนความกังวลของคนรุ่นใหม่ในตลาดงานอย่างชัดเจน เช่น "ทำไมออกจากที่เก่า” “ขอเช็กประวัติได้ไหม" "คุณย้ายงานบ่อยไปไหม" หรือ "ออกมาหางานผิดเวลาสุดๆ"
.
บางคนถึงกับแนะนำให้เขาไปเป็น "อาจารย์รับปลุกเสก" หรือ "รับดูดวง" แต่เขาก็ตอบกลับอย่างอารมณ์ดีว่า "นั่นมันงานของนักพรตเต๋านะครับ"
.
สุดท้าย เขาไม่ได้งานที่เซี่ยงไฮ้ แต่กลับได้ข้อเสนอจากสตาร์ตอัปด้านจิตบำบัดในกว่างโจว เขาจึงตัดสินใจทิ้งชีวิตในวัดเล็กๆ บนภูเขา กลับสู่เมืองอีกครั้ง และกลายเป็นบล็อกเกอร์บอกเล่าประสบการณ์ "บวชแล้วสึก" ที่ดึงดูดคนรุ่นใหม่ที่กำลังสับสนในชีวิต
.
เจียอี้บอกว่า "ที่ไปบวช เพราะมีคำถามกับชีวิตที่คิดไม่ตก และที่สึกก็เพราะรู้สึกว่าตัวเองควรจะต้องทำงาน"
.
1️⃣ ทำไมถึง "บวช"
.
ย้อนกลับไปปี 2023 เจียอี้ในวัย 23 ปี เพิ่งลาออกจากบริษัทใหญ่ เขารู้สึก "หลงทาง" และ "หมดไฟ" ตอนนั้นเขาใช้ชีวิตด้วยเงินเก็บไปวันๆ จนกระทั่งไปเจอวิดีโอ "นั่งสมาธิฟรี ที่พักฟรี อาหารฟรี" เขาคิดแค่ว่า "ก็เหมือนไปเที่ยวฟรี" แต่การไปภาวนาครั้งนั้นกลับทำให้เขาพบ "ความสงบในจิตใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน"
.
การภาวนาเปลี่ยนชีวิตและความคิดของเขา หนึ่งคือทำให้เขากลับมามีไฟและได้งานใหม่เป็นเฮดฮันเตอร์ที่เซี่ยงไฮ้ สองคือเขาเริ่มสนใจพุทธศาสนาอย่างจริงจัง
.
แต่ทว่าการกลับเข้าสู่โลกการทำงานก็ตอกย้ำปัญหาเดิมๆ เขาเคยทำงานแบบ 7 วันต่อสัปดาห์ในบริษัทใหญ่ ได้เงินเดือน 5,000 หยวน (ราว 23,000 บาท) แม้ทำผลงานทะลุเป้า แต่กลับได้เงินน้อยกว่าเด็กใหม่ที่เขาต้องเป็นคนสอนงานเสียอีก แถมบริษัทยังอ้างว่า "มันเป็นระบบ"
.
นอกจากนี้ตอนเป็นเฮดฮันเตอร์ เขาพบว่าไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือคนจน ทุกคนในวัย 30 กว่า ต่างก็วิตกกังวลเรื่องเดียวกัน นั่นคือการซื้อบ้าน ซื้อรถ และแต่งงานในเซี่ยงไฮ้ "ผมมองไม่เห็นอนาคตเลยว่าอีก 10 ปีผมจะเป็นยังไง" เจียอี้กล่าว
.
มีช่วงหนึ่งที่เขามีปัญหาเรื่องครอบครัว ทำให้เขาต้องกลับไปที่บ้านเกิด และได้ไปอยู่วัดที่อู่ไถซาน (五台山) 100 วัน ที่นั่น พระหลายรูปต่างมาชักชวนให้เขาบวช โดยบอกว่า "วัดขาดคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้" และ "คุณทั้งเรียนสูงแถมได้ภาษาต่างประเทศ" ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้ออฟเฟอร์จากบริษัทยักษ์ใหญ่ เขาจึงตัดสินใจบวชเพื่อหา "คำตอบ" ของชีวิต
.
2️⃣ ชีวิตในวัด
.
ชีวิตในวัดเล็กๆ บนภูเขาที่ห่างไกลนั้นเรียบง่าย ตื่น 4:30 น. ทำวัตรเช้า นั่งสมาธิ กินข้าว ทำวัตรเย็น และนอน 3 ทุ่ม "สุขภาพดีกว่าตอนทำงานเสียอีก" เขากล่าว อาจารย์ของเขาให้คำมั่นว่า "ถ้าเจ้าป่วย ข้าจะรักษาเจ้าเอง"
.
เจียอี้เรียนรู้ว่า "การปฏิบัติธรรม" คือการจดจ่อกับปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการนั่งสมาธิ หรือแม้แต่การตัดฟืน เขาเคยให้สติพระรูปหนึ่งที่บ่นเรื่องมีคนเข้าห้องน้ำแล้วไม่ยอมกดชักโครก ว่า "สำหรับท่าน (การไม่บ่น) นี่ก็คือการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่งนะ"
.
แต่เขาก็ย้ำว่าวัดไม่ใช่แดนสวรรค์ เพราะมีการเมืองและความไม่เท่าเทียมแทรกซึมอยู่ โดยวัดเล็กก็เหมือนบริษัทเล็กที่การเมืองน้อย ส่วนวัดใหญ่ที่เงินสะพัดก็เหมือนบริษัทใหญ่ที่เรื่องเยอะกว่า
.
เจียอี้กล่าวด้วยว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่พระในวัดใหญ่ๆ บางรูปจะมีรายได้เกิน 10,000 หยวน (ประมาณ 46,000 บาท) ต่อเดือน
.
เขายังสังเกตเห็นว่าแม่ชีมักจะต้องเป็นฝ่ายรับใช้พระ และมีรายได้น้อยกว่ามาก จนบางครั้งลำบากแม้กระทั่งการซื้อผ้าอนามัย เจียอี้จึงบริจาคเงินเก็บทั้งหมดของเขาเพื่อช่วยเหลือแม่ชีเหล่านี้ โดยคิดว่า "เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง"
.
3️⃣ สึกกลับมาสู้ต่อ
.
เจียอี้ตัดสินใจสึกใน "ชั่วพริบตา" หลังเขารู้สึกว่า "ถึงเวลาแล้ว" ที่จะต้องกลับไปทำงาน เขากลับมาอยู่ในห้องเช่าเล็กๆ ใน "ตึกจับมือ" (ตึกที่สร้างแออัดติดกัน) ในกว่างโจว แต่เขากลับรู้สึก "พอใจ" มากกว่าตอนอยู่ห้องหรูในเซี่ยงไฮ้เสียอีก
.
"ตัวผมลงจากเขา แต่ใจยังไม่ลง” เขาพบว่าการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ "การไม่ถูกอารมณ์ครอบงำ" และ "การรู้จักพอ" และการทำงานก็คือการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง เขาเปรียบเทียบชีวิตการทำงานกับการบวชไว้ว่า "ในวัด ผมต้องตื่นตามเวลามาสวดมนต์ ที่ทำงาน ผมก็ต้องส่งโปรเจกต์ให้ทันเวลา มันต่างกันตรงไหน"
.
เจียอี้กลับมากินเนื้ออีกครั้ง (พระจีนไม่กินเนื้อสัตว์) เพราะต้องใช้พลังงานในการ "ระดมสมอง 10 ชั่วโมงต่อวัน" และลดการนั่งสมาธิลง เพราะพบว่ามันส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน
.
มีคนล้อเขาว่า "ที่แท้พระก็ถูกงานสูบพลังเหมือนกัน" แต่เขาตอบว่า "ถ้าแค่ปัญหาการทำงานเล็กๆ ยังสามารถทำให้ผมล้มได้ แล้วที่ผ่านมาผมไปปฏิบัติธรรมมาอีท่าไหนกัน"
.
เจียอี้สรุปว่าบ่อเกิดของความทุกข์ทั้งหมดมาจาก 'การไขว่คว้าในสิ่งที่ตนไม่มี' ดังนั้น การทำปัจจุบันให้ดีที่สุด สำคัญกว่าการกังวลเรื่องอนาคต
.
เรื่องราวของเขาสะท้อนภาพคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้หนีโลกอย่างถาวร แต่กำลังใช้ "การบวช" เป็นเครื่องมือในการ "หยุดพัก" เพื่อทำความเข้าใจตัวเอง ก่อนจะกลับมา "สู้" ในโลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง ด้วยมุมมองที่เปลี่ยนไป
.
#บวชพระ #วัดจีน #เต๋า