ความเงียบไม่ได้แปลว่าจะผิดเสมอไป มองอีกมุม....จากห้องทรีตเมนต์สู่ห้องพิจารณาของศาล

เมื่อธุรกิจความงามกลายเป็นสมรภูมิคดีระหว่างพาร์ทเนอร์ในโลกของธุรกิจเสริมความงามที่มักจะอิงแสง เงา และความไว้เนื้อเชื่อใจ  ไม่มีใครคาดคิดว่าเบื้องหลังผิวสวยใส จะมีศึกดุเดือดเรื่อง “หุ้น” และ “ความชอบธรรม” ซ่อนอยู่ และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับ Dermatige (เดอร์มาทีจ) คลินิกความงามที่ครั้งหนึ่งเคยรุ่งสุดๆ แต่ตอนนี้กลับต้องไปต่อใน ห้องพิจารณาคดี แทนห้องทรีตเมนต์
จนทั้ง 2 ฝ่ายมาออกโหนกระแส กลายเป็นข่าวใหญ่ตามหน้าสื่อออนไลน์ไปแล้ว และล่าสุด  คุณเมพรีมายา ก็ออกมาร้องสื่ออีกครั้งว่าเหมือนโดนกลั่นแกล้งว่า “ฝั่งโจทก์ไม่ยอมทำนัดศาลทั้งๆที่มีคิวปลายปี 68 หรือแท้จริงไม่ใช่นัดปกติ หรือนัดศาล มีคิวปีหน้าจริงๆ” และทิ้งไว้ให้ชาวเนตใส่ใจกันอีกว่า หรือว่า “ฝั่งตรงข้ามไม่มีเอกสารที่เคยกล่าวอ้าง” ได้แต่คิดแล้วก็สงสัยไปว่าแบบที่สาวเม แกว่งเท้าหาเสี้ยนอีกหรือเปล่า เพราะคำพูดแบบนี้เมื่อออกสื่อ อาจจะเข้าคดีหมิ่นประมาทไปอีกคดี  


จุดแตกหัก: หุ้นรักกลายเป็นหุ้นร้าว
ฝ่ายเดอร์มาทีจ ยืนยันว่าการขายหุ้นมีหลักฐานทางกฎหมายชัดเจน การอ้างสิทธิ์เรียกร้องคืนจึง “ขาดความชอบธรรม” ขณะที่อีกฝั่งกลับยืนกรานว่า “ยังเป็นเจ้าของหุ้นส่วนเดิม” พร้อมโชว์แชทแบ่งเงินที่ไม่รู้ว่าจริงหรือปลอมเป็นหลักฐานในโลกออนไลน์ ศึกนี้เลยกลายเป็นศึก “แชท vs สัญญา” — ฝั่งหนึ่งยึดเอกสาร อีกฝั่งยึดใจและหลักฐานโซเชียล จนสังคมตั้งคำถามว่า “ความจริงอยู่ที่ใคร?
จนเป็นเหตุให้ความงามต้องขึ้นศาล หลังจากการแยกทางของหุ้นส่วน ทีมแพทย์และผู้บริหารเดิมถูกฟ้องร้องในหลายคดี แต่ศาลได้ยกฟ้องบางส่วนเป็นที่เรียบร้อย พร้อมชี้ว่า “การแยกตัวมีเหตุผลทางจริยธรรมและธุรกิจ” ฝ่ายเดอร์มาทีจสร้างแบรนด์ใหม่ ยังเดินหน้าด้วยบริษัทใหม่ Dermaway (DMW) โดยอ้างว่าเป็นการ “รักษาธุรกิจให้รอด” ไม่ใช่หนีปัญหา ในขณะที่อีกฝ่ายเห็นว่าเป็น “การตั้งบริษัทแข่ง”
อีกจุดเดือดคือ “บัญชีรับโอนเงินลูกค้า” — ฝั่งเม พรีมายา เห็นว่าเป็นพฤติกรรม “ซับซ้อนทางบัญชี” ฝั่งเดอร์มาทีจ ชี้แจงว่าเป็น “ระบบจัดการธุรกิจตามปกติ” เพื่อแยกส่วนการดำเนินงาน ฝ่ายเดอร์มาทีจยืนยันว่า “ทุกธุรกรรมโปร่งใสและมีหลักฐานการโอนชัดเจน” พร้อมทิ้งท้ายว่า “ซับซ้อนไม่เท่ากับผิดกฎหมาย”เรียกได้ว่าตอกกันไปคนละหมัด

แต่หลายคนอาจสงสัยว่า “ทำไมคุณหมอไม่ออกมาพูดบ้าง?”  เอาจริงเราเองก็มองว่า คุณหมอทั้ง 2 ท่านคงไม่ถนัดพูดกับสื่อ แต่เป็นแนวคนทำงานจริงจัง ลงมือทำมากกว่าพูดตามสไตล์หมอทั่วไปนั่นแหละ ดูจากที่ยังคงเปิดคลินิก ทำโปรโมชั่นให้ลูกค้าเรื่อยๆ ทั้งที่เจอมรสุมขนาดนี้ก็เห็นได้ว่า เขายังพยายามพาธุรกิจให้เดินต่อ เพราะคลินิกไม่ได้มีสาขาเดียว ไหนจะทีมงาน พนักงานอีกหลายชีวิตที่ต้องดูแล

ถ้ามองในมุมความจริง โดยเฉพาะคดีที่ยังอยู่ในกระบวนการศาล ทุกคำพูดของคนในคดี อาจกลายเป็น “หลักฐาน” ได้ทันที และทุกการแถลง ก็อาจถูกตีความเป็น “ท่าที” ทางคดี เพราะฉะนั้นการเลือก “เงียบ” อาจไม่ใช่เพราะไม่อยากพูดแต่อาจเพราะ “พูดไม่ได้ในตอนนี้” มากกว่า



ขณะที่อีกฝ่ายเลือกพูดเต็มที่ ฝั่งนี้อาจเลือก “รอ” รอให้ศาลเป็นคนพูดแทน รอให้เวลาคลี่คลาย เพราะหลายคนอาจลืมไปว่า “ชื่อเสียงของคนคนหนึ่ง”มันไม่ได้ปกป้องด้วยการออกสื่อบ่อยแค่ไหน แต่มักถูกปกป้องด้วย “ความมั่นคงของใจ” ที่ยังเชื่อในสิ่งที่ตัวเองทำ  อาจจะมีความน้อยใจ ผิดหวัง หรือเสียใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังมีความเชื่อมั่นว่า “สักวันความจริงจะพูดแทนตัวเอง”
ศึกนี้ยังไม่จบแน่ๆ แต่สิ่งที่เห็นชัดคือ  วงการความงามไม่ได้มีแค่เรื่องสวยภายนอกอีกต่อไป เพราะเบื้องหลังนั้นยังมีทั้ง “ศีลธรรม ความเชื่อใจ และกฎหมาย” ที่ซับซ้อนไม่แพ้กัน  และในสงครามระหว่าง “ใครพูดดังที่สุด” กับ “ใครเลือกจะเงียบ”  บางที... คนที่ดูนิ่งที่สุด อาจเป็นคนที่มั่นใจที่สุดในสิ่งที่ตัวเองทำ  และที่เห็นเม ไปที่ศาล อาจจะไปประกันตัวจากคดีอาญาที่ศาลประทับรับฟ้องไว้ ก็เป็นได้นะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่