[รีวิว] ธี่หยด 3 - เล่นเรื่องเก่า เล่าเรื่องซ้ำ ผีชุดดำสุดระทมกับพี่ยักษ์พลังปาฏิหาริย์

1) คาดการณ์เอาไว้ไม่ผิดว่า “ธี่หยด 3” จะถดถอยลงจากสองภาคแรกทั้งในด้านของเนื้อหาและงานสร้างอย่างเห็นได้ชัด อาจไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจสำหรับภาพยนตร์ที่เข็นสร้างกันปีต่อปีแบบนี้ อีกทั้งด้วยความที่เนื้อหาจากสองภาคแรกมีต้นทางเป็นนิยายของกฤตานนท์ซึ่งมีเนื้อเรื่องที่แข็งแรง ต่างจากคราวนี้ที่เป็นเนื้อหาที่สร้างขึ้นใหม่ ความเสี่ยงที่หากว่าบทภาพยนตร์ยังไม่ตกตะกอนดีพอจะทำร้ายภาพยนตร์ทั้งเรื่องจึงมีมาก
.
2) ธี่หยด 3 ใช้แนวคิดที่ว่า “อะไรที่ดีอยู่แล้วก็ทำต่อไป” เมื่อไล่เรียงดูสิ่งที่ธี่หยดนำเสนอมาก่อนหน้านี้ที่เด่นๆ เลยก็หนีไม่พ้นคู่หูพี่ยักษ์กับจ่าประพันธ์ ปะทะผีชุดดำสุดอันตราย และครอบครัวตัวยอ ถ้าในศาสตร์การทำงานอื่นๆ หากอะไรที่ดีแล้วก็สมเหตุสมผลที่จะทำต่อไป แต่สำหรับงานศิลปะโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพยนตร์ การใช้หลักนี้มันทำให้เกิดการ “ทำซ้ำ” และผู้ชมจะมีเหตุผลอะไรที่จะเข้าไปชมในสิ่งเดิมๆ
.
3) การใช้องค์ประกอบซ้ำอาจจะไม่ใช่เรื่องผิด หากมีการพลิกแพลงให้เกิดแง่มุมใหม่ๆ ได้ แต่กับธี่หยด 3 นั้นแทบไม่มีอะไรที่พูดได้ว่าเป็นสิ่งใหม่เลย ซึ่งสิ่งใหม่ในที่นี้ไม่ใช่การเพิ่มตัวละครใหม่ การเปลี่ยนสถานที่ หรือเพิ่มฉากแอคชั่น(แบบเดิมๆ)เข้ามา แต่มันคือการพัฒนาแก่นเรื่องของภาพยนตร์ ที่ท้ายที่สุดแล้วมันบ่งบอกถึงพัฒนาการการเรียนรู้ของตัวละครให้ผู้ชมได้เดินทางไปกับพวกเขาและจดจำกลับบ้านแบบทราบซึ้งตรึงใจ
.
4) โดยแก่นเรื่องหลักของธี่หยดก็คงหนีไม่พ้นการพูดถึงเรื่องของสายใยของครอบครัวที่ช่วยเหลือกันในยามคับขัน ซึ่งถูกเล่าเอาไว้ในภาคแรกในเรื่องของการสูญเสียและปิดอย่างสมบูรณ์แบบด้วยพลังของครอบครัวแล้วในภาคที่สอง จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ภาคล่าสุดจะหันกลับไปเล่าเรื่องครอบครัวในลักษณะเดิมอีก แต่ทว่าธี่หยด 3 กลับกลายเป็นกาารภายเรือในอ่างซะอย่างนั้นเมื่อตัวเรื่องยังคงพูดถึงพลังของครอบครัวในลักษณะเดียวกันกับภาคที่สองอีก(แถมยังฉาบฉวยกว่ามากๆ)
.
5) ไม่เพียงเท่านั้นเมื่อมีเสียงตอบรับจากผู้ชมที่ชื่นชอบการลุย “ดงโขมด” ในภาคที่แล้วเป็นอย่างมาก ถ้าอย่างนั้นก็ลุยป่ามันทั้งเรื่องไปเลยสิ เราจึงได้เห็นฉากส่วนใหญ่ของภาคนี้อยู่ในป่าแทบทั้งเรื่องจนเหม็นเขียวต้นไม้ใบหญ้ากันไปเลย โดย “บ่องสะโหนดเบียง” ถูกใช้แทนดงโขมดในภาคนี้ ซึ่งใช้คำว่าใช้แทนได้เลย เพราะมันมีจุดประสงค์เดียวกันคือเป็นอาณาจักรของภูติผีปีศาจอันชั่วร้ายที่พร้อมจะขย่ำทุกชีวิตที่เข้ามา แต่ทว่านั่นเป็นแค่คำโวโอ้อวด ความเป็นจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
.
6) เพราะหากงานสร้างของภาพยนตร์บ้านเราไม่ใช่แบบ Godzilla vs. Kong ที่จะมีแค่ฉากต่อสู้แล้วจะเสิร์ฟความเพลิดเพลินให้ผู้ชมได้ตลอดทั้งเรื่องแล้วละก็คุณควรจะโฟกัสที่การเล่าเรื่องดีกว่า ซึ่งกว่า 80 เปอร์เซนต์ของธี่หยด 3 เกาะติดไปกับการลุยป่าของ “ยักษ์” (ณเดชน์ คูกิมิยะ) และ “จ่าประพันธ์” (องอาจ เจียมเจริญพรกุล) เพื่อตามหา “ยี่” (ณัฐชา นีน่า เจสซิกา พาโดวัน) น้องเล็กของบ้านที่โดนจับตัวไป แต่คุณภาพของความน่ากลัวนั้นแย่กว่าภาคสองมาก เพราะมันเต็มไปด้วยจังหวะหลอกแบบเดิมๆ ไร้ความสร้างสรรค์ และยังไร้ตรรกะพื้นฐานอีกด้วย (ผีลักพาตัวมาได้ไกลมาก ประสิทธิภาพยิ่งกว่าเฮลิคอปเตอร์ของจ่าประพันธ์ในภาคที่แล้วอีก) รวมถึงต้นกำเนิดของผีชุดดำที่ตื้นเขินมาก
.
7) การเปลี่ยนผู้กำกับมีผลอย่างมหาศาลต่อธี่หยดในภาคนี้ แม้ “สรรัตน์ จิรบวรวิสุทธิ์” จะรับหน้าที่เขียนบทเช่นเดิมก็ตาม แต่เห็นได้ชัดว่าท้ายที่สุดสิ่งที่ผู้ชมได้รับมันถดถอยลงจริงๆ บางช่วงคุณภาพแทบจะกลายเป็นละครหลังข่าวไปแล้ว ทั้งๆ ที่ตัวหนังก็ทำเงินได้ในระดับปรากฏการณ์จากทั้งสองภาคก่อนหน้า ยิ่งตัวหนังเบนเข็มจากการเป็นหนังผีสไตล์หลอกหลอน มาเป็นแอคชั่นสู้ผีอย่างเต็มรูปแบบด้วยแล้ว มันควรจะได้รับความสนุกที่มากกว่านี้จริงๆ และเชื่อว่าหากเป็น คุ้ย ทวีวัฒน์ กำกับนี่จะเป็นงานถนัดของเขาเลย
.
8) ก็คงพูดได้เต็มปากว่าที่ ธี่หยด 3 ไม่ยับเยินไปมากกว่านี้ ก็คงต้องยกเครดิตให้กับเหล่านักแสดงหลักที่เป็นผลผลิตมาจากภาคแรก ณเดชน์ คูกิมิยะ ยังคงเป็นซุปเปอร์สตาร์ที่สร้างความแพงให้กับภาพยนตร์ทั้งเรื่องได้ แพ็คคู่กับ แฉะ-องอาจ ที่พักหลังปรากฏตัวในภาพยนตร์หลากหลายเรื่องทำให้เรารู้สึกว่าการเห็นเขาบนเจอคือการรับชมภาพยนตร์ ส่วนคนที่มีพัฒนาการขึ้นอย่างก้าวกระโดด หนีไม่พ้นหนูน้อยมหัศจรรย์อย่าง ณัฐชา-นีน่า ที่เชื่อว่าทั้งผู้ชมและผู้สร้างเห็นตรงกันว่าควรมีบทบาทมากขึ้น ในครั้งนี้หนูน้อยจึงถึงยกขึ้นมากลายเป็นตัวละครหลักของเรื่อง
.
9) เชื่อว่าเรื่องราวของธี่หยดน่าจะจบลงที่ภาคนี้ ส่วนเนื้อเรื่องในภาคถัดไปน่าจะเป็นการทำ “ภาคแยก” มากกว่าจะมาสานต่อเรื่องราวของผีชุดดำที่ไม่ควรจะถูกขุดขึ้นมาปู้ยี่ปู้ยำอีกแล้ว ในเมื่อเรื่องราวของยักษ์ยังคงมีพื้นที่ให้ค้นหาอีกมาก และเสน่ห์หนังบู๊สู้ผีที่ธี่หยดทั้ง 3 ภาคได้วางเอาไว้ ก็นับว่าน่าติดตามอยู่ไม่น้อย แต่ขออย่างเดียวว่าไม่จำเป็นต้องดันออกมาทุกปีก็ได้ หากคุณภาพยังไม่ผ่านจะเป็นการทำลายชื่อเสียงที่สั่งสมมาเสียเปล่า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่