สรุปนโยบายการเงินและทิศทางตลาดหลังการประชุมเฟด 29 ตุลาคม 2025
วันที่ 29 ตุลาคม 2025 ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Federal Funds Rate) ลง 25 จุด จาก 4.00–4.25% เหลือ 3.75–4.00% ถือเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ต้นปี 2022 และเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งที่สองติดต่อกัน หลังจากเดือนกันยายนลดแรง 0.50% การปรับลดครั้งนี้สะท้อนความพยายามของเฟดในการต่อสู้กับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะตลาดแรงงานและการบริโภค แต่สิ่งที่สร้างความสนใจมากคือถ้อยแถลงของประธานเฟด เจอโรม พาวเวล ซึ่งส่งสัญญาณระมัดระวังมากขึ้นเกี่ยวกับการลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม
คำแถลงของพาวเวลและน้ำเสียงระมัดระวัง
พาวเวลกล่าวว่า เจ้าหน้าที่เฟดกำลังตัดสินใจโดยมีข้อมูลจำกัด และอาจจำเป็นต้อง “พักการลดดอกเบี้ย” เพื่อประเมินข้อมูลเศรษฐกิจเพิ่มเติม ความไม่แน่นอนนี้ทำให้นักลงทุนและเทรดเดอร์ปรับลดความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยเดือนธันวาคมทันที จากเดิมที่ตลาดคาดว่าโอกาสลดอยู่ที่ 75% ลดลงเหลือ 45% นอกจากนี้ พาวเวลเน้นว่าแม้เงินเฟ้อจะลดลงจาก 9.1% เหลือราว 2.7% แต่เฟดต้องการหลักฐานเพิ่มเติมว่าเงินเฟ้อเคลื่อนตัวเข้าสู่เป้าหมาย 2% อย่างยั่งยืน ก่อนจะพิจารณาลดดอกเบี้ยต่อ
เฟดยังประกาศว่าจะยุติโครงการลดงบดุล (Quantitative Tightening) ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม ซึ่งสัญญาณนี้บ่งชี้ว่าตลาดสภาพคล่องจะไม่ถูกดูดออกต่อเนื่องเหมือนในช่วงกลางปี 2022
เหตุผลที่เฟดอาจไม่ลดดอกเบี้ยในธันวาคม
ตลาดแรงงานอ่อนตัวแต่ยังไม่ชัดเจน: ตัวเลขการจ้างงานเดือนตุลาคมเพิ่มเพียง 12,000 ตำแหน่ง ต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2020 แต่ผลกระทบจากพายุเฮอริเคนทำให้การประเมินเบื้องต้นอาจคลาดเคลื่อน
เงินเฟ้อพื้นฐานยังเหนียวแน่น: Core CPI เดือนกันยายนอยู่ที่ 3.3% โดยเฉพาะค่าเช่าและบริการที่ไม่รวมที่อยู่อาศัยยังปรับตัวสูงง
ความเสี่ยงทางการเมือง: การเข้ามาของรัฐบาลทรัมป์อาจทำให้เกิดนโยบายภาษีและการย้ายถิ่นที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจ
คำพูดของพาวเวลแสดงให้เห็นถึง “น้ำเสียงระมัดระวัง” แตกต่างจากเดือนกันยายนที่เฟดมั่นใจว่าเงินเฟ้อกำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง
ความเห็นแตกแยกภายใน FOMC
การประชุมเดือนตุลาคมเผยให้เห็นความแตกต่างชัดเจน Stephen Miran สนับสนุนการลดดอกเบี้ยแรง 0.50% ในขณะที่ Jeffrey Schmid เห็นว่าควรคงดอกเบี้ยไว้ สมาชิกสายเหยี่ยว (Hawkish) สนับสนุนการพักเพื่อตรวจสอบข้อมูล ส่วนสมาชิกสายพิราบ (Dovish) เช่น Austan Goolsbee ยังผลักดันให้ลดดอกเบี้ยต่อ
ตลาดตอบสนองต่อการลดดอกเบี้ยและถ้อยแถลงพาวเวล
ตลาดพันธบัตรและค่าเงินตอบสนองทันทีต่อท่าทีเข้มงวดของเฟด:
พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี: ผลตอบแทนเพิ่มจาก 4.28% เป็น 4.32%
พันธบัตรอายุ 2 ปี: เพิ่มขึ้นแตะ 4.18%
ดัชนีดอลลาร์ (DXY) แข็งค่าขึ้น 0.4%
ทองคำปรับลดลง 1.2%
ตลาดหุ้นสหรัฐตอบสนองแบบผสม โดยหุ้นเทคโนโลยีร่วงจากความกังวลเรื่องต้นทุนกู้ยืม ดัชนี S&P 500 ลดลง 0.3% หลังประกาศพาวเวล
ผลต่อเส้นอัตราผลตอบแทน (Yield Curve)
ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 2 ปี/10 ปี ขยายตัวเป็น +14 จุด ชี้ว่าตลาดคาดว่าเฟดจะคงดอกเบี้ยสูงต่อเนื่อง ช่วยลดความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยในระยะสั้น แต่กดดันมูลค่าหุ้น
แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยปี 2026
Dot Plot เดือนกันยายน 2025 คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยสิ้นปี 2025 ที่ 3.50–3.75% และปี 2026 ที่ 3.25–3.50% หลังการลดดอกเบี้ยเดือนตุลาคม ครึ่งหนึ่งของการลดปี 2025 ได้เกิดขึ้นแล้ว การแถลงของพาวเวลทำให้โอกาสลดครั้งที่สองในธันวาคมไม่แน่นอน
ความแตกต่างภายในคณะกรรมการ FOMC แสดงชัดเจน สมาชิกสายเหยี่ยวมองว่าระดับ 3.75–4.00% เพียงพอ ส่วนสายพิราบเห็นว่าต้องลดต่อเพื่อรับมือการชะลอตัวของตลาดแรงงาน
ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญก่อนการประชุมธันวาคม
รายงานการจ้างงานเดือนพฤศจิกายน (ประกาศ 6 ธันวาคม): ตัวเลขจะยืนยันว่าอ่อนตัวในเดือนตุลาคมเป็นชั่วคราวหรือสัญญาณตลาดแรงงานชะลอตัวจริง
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพฤศจิกายน (ประกาศ 11 ธันวาคม): จะชี้ว่าเงินเฟ้อพื้นฐานลดลงเข้าสู่เป้าหมายหรือไม่ โดยเฉพาะค่าเช่าและบริการ
ผลของนโยบายภาษีทรัมป์ต่อเฟด
นโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้า 10–20% และสินค้าจากจีน 60% อาจเพิ่มเงินเฟ้อ 0.5–1.0 จุดเปอร์เซ็นต์ แต่ลดการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทำให้เฟดมี “พื้นที่จำกัด” ในการลดดอกเบี้ย
เปรียบเทียบธนาคารกลางโลก
เฟด: 3.75–4.00% ลด 0.25% มีแนวโน้มพักธ.ค.
ECB: 3.25% ลด 0.25% อาจลดต่อ
BoE: 4.75% คงดอกเบี้ย
BoJ: 0.50% คงยาว
BoC: 3.75% ลด 0.50% อาจลดต่อ
ความแตกต่างนี้สนับสนุนให้ดอลลาร์แข็งค่า
ประวัติศาสตร์เปรียบเทียบ: ปี 1995–1996
ช่วงปี 1995–1996 เฟดลดดอกเบี้ยเพียงเล็กน้อย (0.25% ต่อครั้ง) เป็น “insurance cuts” ก่อนพักการลดดอกเบี้ย เศรษฐกิจสหรัฐเติบโตต่อเนื่อง 4 ปีหลังจากนั้น ปัจจุบันสถานการณ์คล้ายกัน คือ “soft landing” แต่ตลาดแรงงานแข็งแกร่งกว่า และเงินเฟ้อเริ่มจากฐานสูงกว่า
ผลกระทบต่อตลาดเงินและพันธบัตรหากเฟดพักลดดอกเบี้ยเดือนธันวาคม
ค่าเงิน USD/JPY: อาจแข็งค่า 155–157
EUR/USD: อ่อนค่า 1.05–1.06
GBP/USD: อาจอยู่ 1.28–1.29
พันธบัตรรัฐบาล: ผลตอบแทน 10 ปี 4.25–4.35%
High-Yield Bonds: กดดันจากดอกเบี้ยสูงนานขึ้น
พันธบัตรเทศบาล: อาจ Outperform Treasuries หากมีนโยบายภาษีสนับสนุน
ผลกระทบต่อหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยง
การคงดอกเบี้ยสูงนานกว่าคาด จะกดดันหุ้นที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย เช่น Technology และ Healthcare หาก Discount Rate ปรับขึ้น 25 จุดพื้นฐาน ดัชนี Nasdaq 100 อาจปรับลด 3–4% เป็นสัญญาณการปรับฐานระยะสั้น
บทสรุปเชิงเทรดเดอร์
เฟดลดดอกเบี้ย 0.25% เดือนตุลาคม แต่พาวเวลส่งสัญญาณระมัดระวัง ธ.ค. อาจ “พัก”
ตลาดตอบสนองด้วยการปรับ Yield Curve, ดอลลาร์แข็งค่า, ทองคำอ่อนลง, หุ้นเทค
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ :
https://www.ebc.com/th/forex/273853.html																															 
						
เอาไง !! เฟดไม่ลดดอกเบี้ยตามคาด
วันที่ 29 ตุลาคม 2025 ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Federal Funds Rate) ลง 25 จุด จาก 4.00–4.25% เหลือ 3.75–4.00% ถือเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ต้นปี 2022 และเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งที่สองติดต่อกัน หลังจากเดือนกันยายนลดแรง 0.50% การปรับลดครั้งนี้สะท้อนความพยายามของเฟดในการต่อสู้กับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะตลาดแรงงานและการบริโภค แต่สิ่งที่สร้างความสนใจมากคือถ้อยแถลงของประธานเฟด เจอโรม พาวเวล ซึ่งส่งสัญญาณระมัดระวังมากขึ้นเกี่ยวกับการลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม
คำแถลงของพาวเวลและน้ำเสียงระมัดระวัง
พาวเวลกล่าวว่า เจ้าหน้าที่เฟดกำลังตัดสินใจโดยมีข้อมูลจำกัด และอาจจำเป็นต้อง “พักการลดดอกเบี้ย” เพื่อประเมินข้อมูลเศรษฐกิจเพิ่มเติม ความไม่แน่นอนนี้ทำให้นักลงทุนและเทรดเดอร์ปรับลดความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยเดือนธันวาคมทันที จากเดิมที่ตลาดคาดว่าโอกาสลดอยู่ที่ 75% ลดลงเหลือ 45% นอกจากนี้ พาวเวลเน้นว่าแม้เงินเฟ้อจะลดลงจาก 9.1% เหลือราว 2.7% แต่เฟดต้องการหลักฐานเพิ่มเติมว่าเงินเฟ้อเคลื่อนตัวเข้าสู่เป้าหมาย 2% อย่างยั่งยืน ก่อนจะพิจารณาลดดอกเบี้ยต่อ
เฟดยังประกาศว่าจะยุติโครงการลดงบดุล (Quantitative Tightening) ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม ซึ่งสัญญาณนี้บ่งชี้ว่าตลาดสภาพคล่องจะไม่ถูกดูดออกต่อเนื่องเหมือนในช่วงกลางปี 2022
เหตุผลที่เฟดอาจไม่ลดดอกเบี้ยในธันวาคม
ตลาดแรงงานอ่อนตัวแต่ยังไม่ชัดเจน: ตัวเลขการจ้างงานเดือนตุลาคมเพิ่มเพียง 12,000 ตำแหน่ง ต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2020 แต่ผลกระทบจากพายุเฮอริเคนทำให้การประเมินเบื้องต้นอาจคลาดเคลื่อน
เงินเฟ้อพื้นฐานยังเหนียวแน่น: Core CPI เดือนกันยายนอยู่ที่ 3.3% โดยเฉพาะค่าเช่าและบริการที่ไม่รวมที่อยู่อาศัยยังปรับตัวสูงง
ความเสี่ยงทางการเมือง: การเข้ามาของรัฐบาลทรัมป์อาจทำให้เกิดนโยบายภาษีและการย้ายถิ่นที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจ
คำพูดของพาวเวลแสดงให้เห็นถึง “น้ำเสียงระมัดระวัง” แตกต่างจากเดือนกันยายนที่เฟดมั่นใจว่าเงินเฟ้อกำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง
ความเห็นแตกแยกภายใน FOMC
การประชุมเดือนตุลาคมเผยให้เห็นความแตกต่างชัดเจน Stephen Miran สนับสนุนการลดดอกเบี้ยแรง 0.50% ในขณะที่ Jeffrey Schmid เห็นว่าควรคงดอกเบี้ยไว้ สมาชิกสายเหยี่ยว (Hawkish) สนับสนุนการพักเพื่อตรวจสอบข้อมูล ส่วนสมาชิกสายพิราบ (Dovish) เช่น Austan Goolsbee ยังผลักดันให้ลดดอกเบี้ยต่อ
ตลาดตอบสนองต่อการลดดอกเบี้ยและถ้อยแถลงพาวเวล
ตลาดพันธบัตรและค่าเงินตอบสนองทันทีต่อท่าทีเข้มงวดของเฟด:
พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี: ผลตอบแทนเพิ่มจาก 4.28% เป็น 4.32%
พันธบัตรอายุ 2 ปี: เพิ่มขึ้นแตะ 4.18%
ดัชนีดอลลาร์ (DXY) แข็งค่าขึ้น 0.4%
ทองคำปรับลดลง 1.2%
ตลาดหุ้นสหรัฐตอบสนองแบบผสม โดยหุ้นเทคโนโลยีร่วงจากความกังวลเรื่องต้นทุนกู้ยืม ดัชนี S&P 500 ลดลง 0.3% หลังประกาศพาวเวล
ผลต่อเส้นอัตราผลตอบแทน (Yield Curve)
ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 2 ปี/10 ปี ขยายตัวเป็น +14 จุด ชี้ว่าตลาดคาดว่าเฟดจะคงดอกเบี้ยสูงต่อเนื่อง ช่วยลดความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยในระยะสั้น แต่กดดันมูลค่าหุ้น
แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยปี 2026
Dot Plot เดือนกันยายน 2025 คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยสิ้นปี 2025 ที่ 3.50–3.75% และปี 2026 ที่ 3.25–3.50% หลังการลดดอกเบี้ยเดือนตุลาคม ครึ่งหนึ่งของการลดปี 2025 ได้เกิดขึ้นแล้ว การแถลงของพาวเวลทำให้โอกาสลดครั้งที่สองในธันวาคมไม่แน่นอน
ความแตกต่างภายในคณะกรรมการ FOMC แสดงชัดเจน สมาชิกสายเหยี่ยวมองว่าระดับ 3.75–4.00% เพียงพอ ส่วนสายพิราบเห็นว่าต้องลดต่อเพื่อรับมือการชะลอตัวของตลาดแรงงาน
ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญก่อนการประชุมธันวาคม
รายงานการจ้างงานเดือนพฤศจิกายน (ประกาศ 6 ธันวาคม): ตัวเลขจะยืนยันว่าอ่อนตัวในเดือนตุลาคมเป็นชั่วคราวหรือสัญญาณตลาดแรงงานชะลอตัวจริง
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพฤศจิกายน (ประกาศ 11 ธันวาคม): จะชี้ว่าเงินเฟ้อพื้นฐานลดลงเข้าสู่เป้าหมายหรือไม่ โดยเฉพาะค่าเช่าและบริการ
ผลของนโยบายภาษีทรัมป์ต่อเฟด
นโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้า 10–20% และสินค้าจากจีน 60% อาจเพิ่มเงินเฟ้อ 0.5–1.0 จุดเปอร์เซ็นต์ แต่ลดการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทำให้เฟดมี “พื้นที่จำกัด” ในการลดดอกเบี้ย
เปรียบเทียบธนาคารกลางโลก
เฟด: 3.75–4.00% ลด 0.25% มีแนวโน้มพักธ.ค.
ECB: 3.25% ลด 0.25% อาจลดต่อ
BoE: 4.75% คงดอกเบี้ย
BoJ: 0.50% คงยาว
BoC: 3.75% ลด 0.50% อาจลดต่อ
ความแตกต่างนี้สนับสนุนให้ดอลลาร์แข็งค่า
ประวัติศาสตร์เปรียบเทียบ: ปี 1995–1996
ช่วงปี 1995–1996 เฟดลดดอกเบี้ยเพียงเล็กน้อย (0.25% ต่อครั้ง) เป็น “insurance cuts” ก่อนพักการลดดอกเบี้ย เศรษฐกิจสหรัฐเติบโตต่อเนื่อง 4 ปีหลังจากนั้น ปัจจุบันสถานการณ์คล้ายกัน คือ “soft landing” แต่ตลาดแรงงานแข็งแกร่งกว่า และเงินเฟ้อเริ่มจากฐานสูงกว่า
ผลกระทบต่อตลาดเงินและพันธบัตรหากเฟดพักลดดอกเบี้ยเดือนธันวาคม
ค่าเงิน USD/JPY: อาจแข็งค่า 155–157
EUR/USD: อ่อนค่า 1.05–1.06
GBP/USD: อาจอยู่ 1.28–1.29
พันธบัตรรัฐบาล: ผลตอบแทน 10 ปี 4.25–4.35%
High-Yield Bonds: กดดันจากดอกเบี้ยสูงนานขึ้น
พันธบัตรเทศบาล: อาจ Outperform Treasuries หากมีนโยบายภาษีสนับสนุน
ผลกระทบต่อหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยง
การคงดอกเบี้ยสูงนานกว่าคาด จะกดดันหุ้นที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย เช่น Technology และ Healthcare หาก Discount Rate ปรับขึ้น 25 จุดพื้นฐาน ดัชนี Nasdaq 100 อาจปรับลด 3–4% เป็นสัญญาณการปรับฐานระยะสั้น
บทสรุปเชิงเทรดเดอร์
เฟดลดดอกเบี้ย 0.25% เดือนตุลาคม แต่พาวเวลส่งสัญญาณระมัดระวัง ธ.ค. อาจ “พัก”
ตลาดตอบสนองด้วยการปรับ Yield Curve, ดอลลาร์แข็งค่า, ทองคำอ่อนลง, หุ้นเทค
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ :https://www.ebc.com/th/forex/273853.html