มี 2 เรื่อง เงินบาทแข็งค่าสุดรอบ 2 เดือน และ ยอดหุ้นกู้ 11 เดือนกระเตื้องขึ้น

เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 2 เดือน กสิกรไทยคาดสัปดาห์หน้าเคลื่อนไหวในกรอบ 31.80-32.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ จับตาสัปดาห์หน้า 4 ปัจจัยสำคัญ ทั้งผลการประชุมและ Dot Plot ของเฟด(9-10 ธ.ค.) ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ สถานการณ์ค่าเงินเอเชีย และราคาทองคำในตลาดโลก

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทว่า เงินบาทพลิกแข็งค่าหลุดแนว 32.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในระหว่างสัปดาห์ ท่ามกลางการคาดการณ์เรื่องเฟดลดดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. นี้

เงินบาทแข็งค่าผ่านแนวสำคัญ 32.20 และ 32.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในระหว่างสัปดาห์ไปแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 2 เดือนที่ 31.855 บาทต่อดอลลาร์ฯ (แข็งค่าสุดนับตั้งแต่ 24 ก.ย.) สอดคล้องกับการแข็งค่าของสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชีย นำโดย เงินเยนซึ่งมีแรงหนุนจากการคาดการณ์ถึงโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ ซึ่งสวนทางกับแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของเฟด

นอกจากนี้เงินดอลลาร์ฯ ยังมีแรงกดดันเพิ่มเติมจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาอ่อนแอกว่าที่ตลาดคาด โดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนของ ADP และดัชนี PMI ภาคบริการที่ปรับตัวลงมากกว่าที่ตลาดคาดในเดือนพ.ย. ซึ่งยิ่งตอกย้ำมุมมองของตลาดที่ให้น้ำหนักความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับลดดอกเบี้ยในการประชุม FOMC ในสัปดาห์หน้าวันที่ 9-10 ธ.ค. นี้

อย่างไรก็ดี เงินบาทลดช่วงบวกลงบางส่วน และอ่อนค่ากลับมาเล็กน้อยก่อนเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวของตลาดในประเทศ ประกอบกับตลาดกลับมารอติดตามการประชุมเฟดสัปดาห์หน้า และรายละเอียดหลังมีรายงานข่าวระบุว่า ธปท. และกระทรวงการคลังกำลังอยู่ระหว่างการหารือร่วมกันในการแก้ประกาศเพื่อให้ร้านทองรายงานธุรกรรม

ในวันพฤหัสบดีที่ 4 ธ.ค. 2568 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 32.02 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 32.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (28 พ.ย.) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 1-4 ธ.ค. 2568 นั้น นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 3,632 ล้านบาท แต่มีสถานะอยู่ในฝั่ง Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 1,700 ล้านบาท (ขายสุทธิพันธบัตร 540 ล้านบาท และตราสารหนี้หมดอายุ 1,160 ล้านบาท)



เงินบาท : กรอบสัปดาห์นี้
สำหรับวันที่ 8-12 ธ.ค. 2568 ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 31.80-32.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุมและ Dot Plot ของเฟด ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ สถานการณ์ค่าเงินเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก

ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขเงินเฟ้อคาดการณ์ในมุมมองผู้บริโภคเดือนพ.ย. ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงานเดือนก.ย. รวมถึงตัวเลขการจ้างงานของภาคเอกชนและจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ ตลาดอาจรอติดตามข้อมูลเศรษฐกิจเดือนพ.ย. ของจีน อาทิ ตัวเลขการส่งออก ดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิตด้วยเช่นกัน

ส่วนความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นท่ามกลางแรงซื้อของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติและบัญชีบล.



SET Index ดีดตัวขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์ตามแรงซื้อของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติและบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ หลังสถานการณ์น้ำท่วมในภาคใต้เริ่มคลี่คลายและรัฐบาลเร่งออกมาตรการช่วยเหลือ ส่งผลให้มีแรงซื้อหุ้นบิ๊กแคป นำโดย กลุ่มแบงก์ เทคโนโลยีและพลังงานซึ่งได้รับอานิสงส์เพิ่มเติมจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวขึ้นหลังโอเปกพลัสมีมติไม่เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในไตรมาส 1/2569 นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของทั้งสหรัฐฯ และไทยในรอบการประชุมเดือนธ.ค. นี้

อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในกรอบแคบในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ เนื่องจากไร้ปัจจัยใหม่ๆ เข้ามากระตุ้นตลาด ขณะที่นักลงทุนกลับมารอติดตามผลการประชุมเฟดในสัปดาห์หน้า ประกอบกับช่วงปลายสัปดาห์จะเข้าสู่ช่วงหยุดยาวของตลาดในประเทศ

ในวันพฤหัสบดีที่ 4 ธ.ค. 2568 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,273.77 จุด เพิ่มขึ้น 1.36% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 35,948.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.74% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 0.87% มาปิดที่ระดับ 216.19 จุด

ส่วนสัปดาห์ (8-12 ธ.ค. 68) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,250 และ 1,230 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,285 และ 1,305 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมเฟด (9-10 ธ.ค.) และทิศทางเงินทุนต่างชาติ

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือนต.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/2568 และผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนต.ค. ของญี่ปุ่น ตลอดจนข้อมูลเศรษฐกิจเดือนพ.ย. ของจีน อาทิ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต และตัวเลขส่งออก

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/finance/news-1932623

ยอดหุ้นกู้ 11 เดือนกระเตื้องขึ้น โค้งสุดท้ายธุรกิจแห่ออก ‘ไฮยีลด์บอนด์’

หุ้นกู้ครึ่งปีหลังกระเตื้อง “ThaiBMA” ชี้แนวโน้มดีขึ้นจากครึ่งปีแรกที่มูลค่าการออกลดลง -19% ล่าสุด ใกล้เคียงปีที่แล้ว ลุ้นทั้งปีแตะ 9 แสนล้านบาท ขณะที่เดือน ธ.ค. เดือนสุดท้ายก่อนสิ้นปีพบหลายบริษัทแห่ออกหุ้นกู้เสี่ยงสูง อัดดอกเบี้ยสูงทะลุ 7% จูงใจนักลงทุนสถาบัน-รายใหญ่

นางสาวศิรินารถ อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยและวิเทศสัมพันธ์ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยว่า มูลค่าการออกหุ้นกู้ระยะยาว ในช่วง 11 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-พ.ย.) อยู่ที่ 847,075 ล้านบาท ลดลง -3.03% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) ที่มีมูลค่า 873,583 ล้านบาท ถือว่าแนวโน้มดีขึ้นจากกลางปีที่ -19%

“คาดว่าทั้งปี ยอดออกหุ้นกู้ปีนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณ 880,000 ล้านบาท หรือลุ้น 900,000 ล้านบาท”

ทั้งนี้ ในเดือน พ.ย. 2568 นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิบอนด์ไทย 23,912 ล้านบาท ส่งผลให้ยอดตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้น พ.ย. (YTD) ต่างชาติซื้อสุทธิสะสม 90,440 ล้านบาท ซึ่งทำให้ยอดถือครองตราสารหนี้ของต่างชาติ YTD อยู่ที่ 928,150 ล้านบาท

โดย ณ สิ้นเดือน พ.ย. 2568 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยและสหรัฐ (บอนด์ยีลด์) ปรับลดลงทั้งในรุ่น 2 ปี และ 10 ปี เมื่อเทียบกับสิ้นเดือนก่อน

นางสาวศิรินารถกล่าวอีกว่า ส่วนสถานการณ์การผิดนัดชำระหุ้นกู้ที่ครบกำหนดพบว่า ในช่วงเดือน ม.ค.-พ.ย. 2568 มีหุ้นกู้ผิดนัดชำระทั้งสิ้นรวม 7,349 ล้านบาท จากผู้ออกทั้งสิ้น จำนวน 8 ราย เมื่อเทียบกับปี 2567 ที่มีหุ้นกู้ผิดนัดชำระ 3,172 ล้านบาท จากผู้ออกจำนวน 5 ราย ส่วนหุ้นกู้ที่เลื่อนกำหนดชำระในช่วงเดียวกันนี้มีทั้งสิ้น 56,018 ล้านบาท (ในจำนวนนี้มี 15 ราย เพิ่งเคยเลื่อนออกหุ้นกู้ครั้งแรก) จากผู้ออกทั้งสิ้น 22 ราย เทียบกับปีก่อนที่มีการเลื่อนชำระ 37,963 ล้านบาท จากผู้ออกทั้งสิ้น 17 ราย

ล่าสุด ตลาดหลักทรัพย์ฯประกาศ ขึ้นเครื่องหมาย CB ของหลักทรัพย์ PRIME หรือบริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค. 2568 เป็นต้นไป เนื่องจากมีการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ตามที่ ThaiBMA ได้ขึ้นเครื่องหมาย FP (Failed to Pay) สำหรับหุ้นกู้ PRIME253A และ PRIME253B

รายงานแจ้งว่า ในเดือน ธ.ค.นี้ ธุรกิจที่มีแผนเสนอขายหุ้นกู้ อาทิ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI) เสนอขายหุ้นกู้ดิจิทัล อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.60% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ให้แก่ประชาชนทั่วไป เมื่อวันที่ 1-3 ธ.ค.ที่ผ่านมา,

บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (NOBLE) เสนอขายหุ้นกู้ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน แบ่งเป็น ชุดที่ 1 อายุ 1 ปี 6 เดือน ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2570 อัตราดอกเบี้ย 5.30% ต่อปี และชุดที่ 2 อายุ 2 ปี 11 เดือน ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2571 อัตราดอกเบี้ย 5.80% ต่อปี จองซื้อวันที่ 28 พ.ย. และ 1-2 ธ.ค.ที่ผ่านมา

โดยมีหลายบริษัทที่ออกหุ้นกู้เสี่ยงสูง (ไฮยีลด์บอนด์) อาทิ บริษัท อบาคัส ดิจิทัล จำกัด (ABACUS) จะเสนอขายหุ้นกู้เสี่ยงสูง ไม่มีประกัน อายุ 1 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.60% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ คาดเปิดจองซื้อ 1-3 ธ.ค., บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (CGH) คาดว่าเสนอขายหุ้นกู้เสี่ยงสูง ให้ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนก่อนกำหนด อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย 7.00% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน,

บริษัท ไร้ท์ทันเน็ลลิ่ง จำกัด (มหาชน) (RT) เสนอขายหุ้นกู้เสี่ยงสูง ซึ่งผู้ออกมีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนด จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน แบ่งเป็น ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2570 อัตราดอกเบี้ย 7.20% ต่อปี และชุดที่ 2 อายุ 3 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2571 อัตราดอกเบี้ย 7.35% ต่อปี เปิดให้ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่จองซื้อ 1-3 ธ.ค.,

บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) (CWTTH) คาดว่าเสนอขายหุ้นกู้เสี่ยงสูง มีผู้ค้ำประกัน ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนก่อนกำหนด อายุ 1 ปี 11 เดือน อัตราดอกเบี้ย 7.25% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน เปิดให้ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่จองซื้อ 16-18 ธ.ค.,

บริษัท ออริจิ้น โฮเทล จำกัด (มหาชน) (OHT) คาดว่าเสนอขายหุ้นกู้เสี่ยงสูง มีประกัน ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนก่อนกำหนด จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน แบ่งเป็น ชุดที่ 1 อายุ 1 ปี 5 เดือน ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2570 และชุดที่ 2 อายุ 2 ปี 4 เดือน ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2571 โดยทั้ง 2 ชุด อยู่ระหว่างรอประกาศอัตราดอกเบี้ย ให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/finance/news-1931987
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่