เนื่องจาก 2-3 วันนี้ ได้คุยกับเพื่อนๆในที่ทำงาน เพื่อนๆๆ หลายคนประสบปัญหาเกี่ยวกับโรคแพนิค เพื่อนบอกว่าเดี๋ยวนี้ขับรถขึ้นทางด่วนสูงๆ ก็กลัว รถติด
มากๆ ก็อยู่ไม่ได้ รู้สึกวิตก ถามว่าเกิดจากอะไรพอรู้ไหม เพื่อนบอกไม่รู้เลยรู้ตัวอีกที่ก็กลัววิตกไปแล้ว แต่ก่อนผ่านมาหลายปีเคยเป็นแต่ไม่ถึงขั้นขับรถขึ้น
ทางด่วนสูงๆ ไม่ได้ ทำให้มีผลกระทบกับงานในบางอย่าง แต่เพื่อนคนนี้ก็ได้เข้าไปหาหมอประกันสังคมแต่ว่าง่ายๆ ไม่ได้เรื่องอะไร ตอนนี้จองคิวพบหมอที่
คลินิกเรียบร้อย หวังว่าเพื่อนจะหายกลับเข้าสู้โหมดปกติ .....เลยขอนำความรู้เกี่ยวกับโรคแพนิค มาแชร์กัน อาจจะยาวหน่อยเเต่เป็นประโยชน์ค่ะ

ดูแลตัวเองกันด้วยนะคะ ไม่ได้เป็นอะไรแต่เป็นห่วง

โรคแพนิค อาการเป็นอย่างไร?
โรคแพนิค (Panic Disorder) หรือโรคตื่นตระหนก เป็นโรควิตกกังวลประเภทหนึ่งที่เกิดจากระบบประสาทอัตโนมัติ (Automatic Nervous System) ทำงานผิดปกติ โดยระบบประสาทนี้เป็นระบบที่ควบคุมการทำงานของร่างกายหลายส่วน จึงทำให้เกิดอาการหลายอย่างร่วมกัน เช่น หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออกมาก ท้องไส้ปั่นป่วน วิงเวียน ซึ่งอาการจะเกิดขึ้นแบบฉับพลันแม้ไม่มีสาเหตุหรือมีเรื่องให้ต้องตกใจ ผู้ป่วยจะมีความรู้สึกกลัว ตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก ไม่กล้าออกไปไหน หมกมุ่นเรื่องสุขภาพ จนส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน
โรคแพนิค อาการเป็นอย่างไร?
ใจสั่น แน่นหน้าอก
หัวใจเต้นแรง
หายใจหอบ หายใจถี่
เหงื่อออกมาก เหงื่อแตก
ตัวสั่น
ปั่นป่วนในท้อง
วิงเวียน คล้ายจะเป็นลม
หวาดกลัว รู้สึกกลัวไปหมดทุกอย่าง
มือสั่น เท้าสั่น
ตัวชา ควบคุมตัวเองไม่ได้
อาการแพนิค จะเกิดที่ไหนเมื่อไรก็ได้ และคาดเดาได้ยาก โดยขณะเกิดอาการ ผู้ป่วยมักกลัวและรีบไปโรงพยาบาล ซึ่งแพทย์ที่ห้องฉุกเฉินมักตรวจไม่พบความผิดปกติ และมักได้รับการสรุปว่าเป็นอาการเครียดหรือคิดมาก ซึ่งผู้ป่วยก็มักยอมรับไม่ได้และปฏิเสธว่าไม่ได้เครียด
ปัจจัยเสี่ยงที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคแพนิค
- อาจเกิดจากสมองส่วนควบคุมความกลัวที่เรียกว่า “อะมิกดาลา” (Amygdala) ทำงานผิดปกติ
- กรรมพันธุ์ คนที่มีญาติหรือประวัติครอบครัวเป็นโรคแพนิค มีแนวโน้มเป็นได้มากกว่าคนทั่วไป
- การใช้สารเสพติด
- ความผิดปกติของฮอร์โมน อาจทำให้สารเคมีในสมองเสียสมดุลได้
- มีประสบการณ์ เคยผ่านเหตุการณ์เลวร้ายในชีวิต
- พฤติกรรมต่าง ๆ ที่เป็นตัวกระตุ้น เช่น ทำงานกับคอมพิวเตอร์และมือถือนาน ๆ เผชิญความกดดัน อยู่ในสภาวะที่เร่งรีบ เครียดวิตกกังวล ไม่ออกกำลังกาย พักผ่อนน้อย
- เครียดสะสม เกิดจากการใช้ชีวิตอย่างจริงจัง เคร่งเครียด อยู่ในสภาวะกดดันเป็นประจำ
เช็กให้ชัวร์! โรคอื่นที่มีอาการคล้ายโรคแพนิค
ผู้ป่วยที่เป็นโรคแพนิค จะมีอาการที่เรียกว่า “panic attack” นั่นก็คือกลุ่มอาการตามที่ปรากฎอยู่ในแบบทดสอบข้างต้นตั้งแต่ 4 ข้อขึ้นไป โดยเกิดขึ้นซ้ำ ๆ อย่างคาดการณ์ไม่ได้ และมีอาการอื่น ๆ ต่อเนื่องจากอาการเหล่านั้น เป็นเวลานานกว่า 1 เดือน (หรือมากกว่า) ดังต่อไปนี้
กังวลว่าจะเกิดอาการขึ้นอีกอยู่ตลอดเวลา
กังวลว่าอาจเกิดโรคร้ายแรงหรือกังวลเกี่ยวกับผลติดตามมา (เช่น คุมตัวเองไม่ได้ เป็นโรคหัวใจ เป็นบ้า เป็นต้น)
พฤติกรรมเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน เช่น ไม่กล้าอยู่คนเดียว เพราะกลัวจะเกิดอาการขึ้น หรือไม่กล้าใช้ชีวิตประจำวันตามปกติที่เคยทำเป็นประจำ
เนื่องจากการเกิดอาการอาจมีอาการคล้ายกับโรคอื่นได้หลายอย่าง เช่น อาการใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว เป็นต้น จึงจำเป็นต้องตรวจร่างกายเพื่อค้นหาโรคทางด้านร่างกายที่อาจเป็นสาเหตุให้มีอาการนั้น ๆ ก่อน เช่น ตรวจคลื่นหัวใจ หรือ ส่งเจาะเลือดวัดระดับไทรอยด์ เป็นต้น
แต่ทั้งนี้ แม้ว่าผลการตรวจร่างกายปกติดี ก็ยังไม่สามารถวินิจฉัยได้อย่างชัดเจนว่าเป็นโรคแพนิค (Panic Disorder) เนื่องจากว่ายังมีโรคทางจิตเวชอื่นๆ สามารถเกิดอาการ panic attack ได้เช่นกัน ได้แก่
โรคกลัวเฉพาะอย่าง หรือ Specific Phobia: กังวลหรือหวาดกลัวอย่างรุนแรงต่อการอยู่ในสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งโดยเฉพาะ หรือมีอาการต่อสถานการณ์เพียงไม่กี่สถานการณ์เท่านั้น เช่น การขึ้นลิฟท์
โรคกลัวสังคม หรือ Social Phobia: กังวลต่อการพบปะผู้คน อาจรู้สึกประหม่าหากต้องอยู่ในสถานการณ์ที่รู้สึกว่ามีคนจับจ้องมาที่ตนเอง เช่น การพูดต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก
โรคทางจิตเวชอื่น ๆ เช่น โรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive-Compulsive Disorder) เช่น บางคนหลีกเลี่ยงสิ่งสกปรกเนื่องจากหมกมุ่นกับการกลัวติดเชื้อโรค
โรคเครียดภายหลังจากเหตุการณ์ร้ายแรง (Posttraumatic Stress Disorder) เช่น หลีกเลี่ยงสิ่งเร้าที่เกี่ยวข้องกับความกดดันที่รุนแรงนั้น หรือ
โรควิตกกังวลจากการพรากจาก (Separation Anxiety Disorder) เช่น หลีกเลี่ยงการห่างจากบ้านหรือญาติ รวมทั้งโรคทางอารมณ์ เช่น โรคซึมเศร้า ก็สามารถเกิด panic attack ได้เช่นกัน
วิธีการรักษาโรคแพนิค
โรคแพนิค (Panic disorder) ไม่ได้เป็นโรคร้ายแรง หรือทำให้มีอันตรายถึงชีวิต แต่ทำให้เกิดความกังวลกับผู้ที่เป็น และต้องรักษาหากกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตได้โดยปกติ ซึ่งการรักษาแบ่งออกเป็น 2 วิธี คือ
การรักษาด้วยยา
เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสารสื่อประสาทในสมองเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคแพนิค ดังนั้นการรับประทานยา เพื่อไปปรับสมดุลของสารสื่อประสาทในสมองจึงมีความจำเป็น และใช้เวลาในการรักษาประมาณ 8-12 เดือน โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยกระตุ้นให้เกิดโรคของแต่ละบุคคล จากการศึกษาพบว่า ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ที่เป็นโรคนี้ สามารถหายขาดได้
การรักษาทางใจ
คือการทำจิตบำบัดประเภทปรับความคิดและพฤติกรรม ซึ่งมีหลายวิธี เช่น
- ฝึกหายใจในผู้ป่วยที่มีอาการหายใจไม่อิ่ม หายใจเข้า – ออกลึก ๆ ช้า ๆ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากอาการ โดยหายใจเข้าให้ท้องป่องและหายใจออกให้ท้องยุบในจังหวะที่ช้า ซึ่งจะทำให้ร่างกายค่อย ๆ ปรับตัว หลังจากนั้นร่างกายจะเริ่มผ่อนคลายและอาการก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นและหายไปเอง
รู้เท่าทันอารมณ์ของตน ตั้งสติ บอกกับตัวเองว่าอาการที่เกิดขึ้นเป็นแค่เรื่องชั่วคราว สามารถหายได้และไม่อันตรายถึงแก่ชีวิต
- การฝึกการคลายกล้ามเนื้อในผู้ป่วยที่มีอาการปวดศรีษะ หรือปวดตึงกล้ามเนื้อ
- การฝึกสมาธิ
- การฝึกคิดในทางบวก
การรักษาโรคแพนิคนั้นควรต้องรักษาทั้งสองด้านควบคู่กันไป โดยการศึกษาวิจัยพบว่าการรักษาด้วยยาควบคู่ไปกับการรักษาทางด้านจิตใจ เป็นการรักษาที่ได้ผลดีที่สุด
โรคแพนิค ไม่อันตรายแต่ควรรักษา!
โรคแพนิคสามารถรักษาได้ด้วยการรับประทานยาเพื่อปรับสมดุลของสารเคมีในสมองที่ผิดปกติ หรือ การตรวจเลือดหาสาเหตุที่เกิดทางด้านร่างกาย เพื่อการรักษาที่ได้ผลดีนั้นจะต้องมีการรักษาทางจิตใจควบคู่ไปด้วย ปรับแนวคิดและพฤติกรรมของผู้ป่วย รวมถึงคนรอบข้าง คนใกล้ชิด ควรทำความเข้าใจกับโรคนี้และให้กำลังใจผู้ป่วย
การฝึกการหายใจเพื่อควบคุมสติ เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่สามารถช่วยลดความเครียด ความวิตกกังวล ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยสามารถทำได้ด้วยตนเอง นอกจากนี้ ควรอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ผ่อนคลายจากความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอและเป็นเวลา อาจหลีกเลี่ยงการใช้ชีวิตประจำวันด้วยความเร่งรีบ รวมทั้งการใช้เวลาอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือมากเกินไป
แม้ว่าโรคนี้จะไม่รุนแรง หรือเป็นอันตรายถึงชีวิต แต่อาการของโรคอาจไปสัมพันธ์คล้ายคลึงกับปัญหาสุขภาพร้ายแรง อื่น ๆ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคระบบหลอดเลือดหัวใจ และหัวใจวายเฉียบพลัน ดังนั้น หากสงสัยว่ามีอาการของโรคแพนิค ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด
เพื่อนที่ทำงานเริ่มเป็นแพนิค
มากๆ ก็อยู่ไม่ได้ รู้สึกวิตก ถามว่าเกิดจากอะไรพอรู้ไหม เพื่อนบอกไม่รู้เลยรู้ตัวอีกที่ก็กลัววิตกไปแล้ว แต่ก่อนผ่านมาหลายปีเคยเป็นแต่ไม่ถึงขั้นขับรถขึ้น
ทางด่วนสูงๆ ไม่ได้ ทำให้มีผลกระทบกับงานในบางอย่าง แต่เพื่อนคนนี้ก็ได้เข้าไปหาหมอประกันสังคมแต่ว่าง่ายๆ ไม่ได้เรื่องอะไร ตอนนี้จองคิวพบหมอที่
คลินิกเรียบร้อย หวังว่าเพื่อนจะหายกลับเข้าสู้โหมดปกติ .....เลยขอนำความรู้เกี่ยวกับโรคแพนิค มาแชร์กัน อาจจะยาวหน่อยเเต่เป็นประโยชน์ค่ะ