สภาพัฒน์ เบรคตั้ง “ดาตาร์เซ็นเตอร์” ผลาญน้ำ-ไฟ มหาศาล จ้างงานต่ำ

ประเด็นสำคัญที่ ดร.ศุภวุฒิ กล่าวว่า ไม่ใช่การปฏิเสธประโยชน์ของ AI แต่เป็นการตั้งคำถามตัวโต ๆ ถึง ความคุ้มค่าและผลกระทบต่อความเท่าเทียมที่อาจสวนทางกับสิ่งที่คาดหวัง


ปัญหาของ “โรงเก็บข้อมูล” ยักษ์ใหญ่
เมื่อทรัพยากรถูกดูดแต่การจ้างงานไม่เกิด
หัวใจสำคัญของ AI คือการประมวลผลข้อมูลปริมาณมหาศาล ซึ่งแน่นอนว่าต้องมี “บ้าน” หรือ “โรงเก็บข้อมูล” ขนาดใหญ่ที่เรียกว่า ดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center) เพื่อรองรับ ยิ่ง AI ฉลาดและซับซ้อนขึ้นเท่าไร “บ้าน” หลังนี้ก็ยิ่งต้องขยายใหญ่ขึ้นเท่านั้น

ดาต้าเซ็นเตอร์เปรียบเสมือนเครื่องดูดทรัพยากรขนาดมหึมา
ลองนึกภาพดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่เพียงแห่งเดียว เช่น 150 เมกะวัตต์ ที่ต้องใช้ทั้งไฟฟ้าและน้ำปริมาณมหาศาลเพื่อหล่อเย็นระบบ เทียบเท่ากับการอุปโภคบริโภคของประชาชน 30,000 ถึง 50,000 ครัวเรือนในแต่ละวัน

หากประเทศไทยเดินหน้าลงทุนตามเป้าหมาย 1 กิกะวัตต์ (1,000 เมกะวัตต์) ภาระด้านทรัพยากรก็จะพุ่งสูงเทียบเท่ากับการที่เรามีครัวเรือนใหม่เพิ่มขึ้น 200,000-300,000 ครัวเรือนเลยทีเดียว

คำถามที่ตามมาคือ
เมื่อเราต้องจ่ายค่าบำรุงทรัพยากรที่แพงขนาดนี้ เราได้อะไรกลับคืนมา? ในแง่ของการจ้างงาน คำตอบที่ได้กลับน่าใจหาย ดร.ศุภวุฒิ ชี้ว่า การลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ 150 เมกะวัตต์ อาจสร้างการจ้างงานประจำได้เพียง 50 ตำแหน่งเท่านั้น
เมื่อนำมาคำนวณสัดส่วนต้นทุนต่อผลประโยชน์ภาพก็ยิ่งชัดเจนขึ้น “อาจหมายถึงการที่เราต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลหลักพันล้านบาทเพื่อสร้างงานเพียง 1 ตำแหน่ง”

แม้ว่างานนั้นจะเป็นงานคุณภาพที่ให้เงินเดือนสูง แต่ ดร.ศุภวุฒิ ตั้งคำถามว่า ประโยชน์ที่เกิดขึ้นกำลังกระจุกตัวอยู่ที่คนกลุ่มเล็ก ๆ หรือไม่? และนี่คือบทสรุปที่ท่านชี้ว่า มันอาจไม่ใช่การ “ลดความเหลื่อมล้ำ” แต่กำลังจะกลายเป็นการ “เพิ่มความเหลื่อมล้ำ” เสียมากกว่า เพราะเรากำลังนำทรัพยากรของส่วนรวมไปหล่อเลี้ยงการลงทุนที่สร้างประโยชน์กลับคืนสู่สังคมในวงที่จำกัดมาก

AI ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี: ความเปราะบางระดับโลกที่ซ่อนอยู่
ดร.ศุภวุฒิ กล่าวว่าความเสี่ยงของ AI นั้นซับซ้อนกว่าที่เราคิด ไม่ได้จำกัดวงอยู่แค่ในประเทศ แต่กำลังเชื่อมโยงกับความเปราะบางระดับโลกที่น่ากังวลอย่างยิ่ง

ประเด็นแรกคือ สมรภูมิภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) 
ที่กำลังตึงเครียด ห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดที่จำเป็นต่อการสร้าง AI กำลังถูกแบ่งข้างอย่างชัดเจนระหว่างสองมหาอำนาจ จีน กุมหัวใจในส่วนต้นน้ำ (Upstream) นั่นคือ แร่หายาก (Rare Earths) ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการผลิตเทคโนโลยีแทบทุกชนิด และยังผูกขาด กระบวนการแปรรูป วัตถุดิบเหล่านี้ถึง 90% ของทั้งโลก สวนทางกับสหรัฐฯ และพันธมิตร (US & Allies) ที่กุมส่วนปลายน้ำ (Downstream) ที่สำคัญที่สุดอย่างเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductors) หรือ ชิป ที่เปรียบได้กับ สมองอัจฉริยะของ AI
หากยักษ์ใหญ่ทั้งสองฝ่ายขัดแย้งกันรุนแรง ถึงขั้นที่จีนระงับการส่งออกแร่ หรือสหรัฐฯ สกัดกั้นการเข้าถึงชิป การพัฒนา AI ของทั้งโลกก็อาจสะดุดหรือหยุดชะงักลงทันที

ในอีกด้านหนึ่ง ความเปราะบางนี้ยังสะท้อนผ่านปัญหาด้านการจ้างงาน 
แม้ไทยจะมีความหวังว่า AI จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในสังคมสูงวัย แต่ในอีกมุมหนึ่งก็มีเงาที่น่ากังวลซ้อนทับอยู่ มีการคาดการณ์ว่าแรงงานกว่าครึ่งอาจถูก AI เข้ามาทดแทนที่ได้ภายในระยะเวลาเพียง 20-30 ปีข้างหน้า นี่ไม่ใช่แค่เรื่องการตกงานของคนกลุ่มหนึ่ง แต่คือการกระแทกซ้ำเข้าไปที่ปัญหาความเหลื่อ้มล้ำที่สังคมมีอยู่เดิมให้รุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก

ทางออกของไทย: 
เน้นใช้เป็นและสร้างคนไม่ใช่แค่สร้างตึก
เมื่อเผชิญกับความท้าทายทั้งภายนอกและภายใน ดร.ศุภวุฒิ เรียกร้องให้ปรับทิศยุทธศาสตร์ของประเทศไทยอย่างเร่งด่วน ปัจจุบันไทยกำลังเน้นความสำคัญเพียง 2 ขั้วที่ห่างกันเกินไป คือการทุ่มสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐาน กับการมุ่งใช้แอปพลิเคชันที่เป็นปลายทาง โดยที่กำลังขาดหายไปคือตรงกลาง

ดังนั้น สิ่งที่ไทยควรให้ความสำคัญมากกว่าการทุ่มสร้างตึก ดาต้าเซ็นเตอร์ที่กินทรัพยากรสูงแต่สร้างงานน้อย คือการหันมาเติมเต็ม “ตรงกลาง” ที่หายไปนั้นด้วยสองเรื่องหลัก

เรื่องแรก คือ การประยุกต์ใช้ (Application) 
ซึ่งหมายถึงการมุ่งเน้นว่าจะนำ AI ไปใช้ให้เป็นและใช้ให้เกิดประโยชน์จริงในภาคส่วนต่าง ๆ ได้อย่างไร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง

และเรื่องที่สองที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การเตรียมคน (People) 
การสร้างคน โดยเร่งพัฒนาทักษะคนไทยให้ พร้อมและรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง ให้สามารถทำงานร่วมกับ AI ได้ ไม่ใช่ถูก AI ทดแทน
โจทย์ใหญ่ที่สภาพัฒน์ทิ้งไว้ให้สังคมขบคิดจึงชัดเจนมากว่าการมุ่งสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่นั้นคุ้มค่าจริงหรือไม่ หากสุดท้ายเป็นเพียงการสร้างประโยชน์ให้ต่างชาติ โดยที่คนไทยส่วนใหญ่ต้องแบกรับต้นทุนทรัพยากรที่เพิ่มขึ้น และนี่คือหัวใจสำคัญของการเดินหน้าสู่ “ความเท่าเทียม” ในยุค AI อย่างแท้จริง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่