https://www.thairath.co.th/news/local/2889974 (19 ต.ค. 68) ผู้สื่อข่าวติดต่อไปที่ ชายเจ้าของรถกระบะคันดังกล่าว ได้ชี้แจงผ่านทางโทรศัพท์ว่า
วันเกิดเหตุตนเองพาแม่ วัย 69 ปี มีอาการป่วยด้วยกรดไหลย้อน ทำให้จุกแน่นหายใจไม่ออก ไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ก็คือโรงพยาบาลปลายพระยา
ตอนที่ตนจอดส่งแม่ ก็ไม่มี จนท.ของโรงพยาบาลมารับตัว ตนจึงต้องให้ภรรยาไปเอารถเข็นและช่วยกันเข็นแม่เข้าไปในห้องฉุกเฉิน
เพราะแม่มีอาการอ่อนแรงไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ตอนนั้นตนเองก็ไม่ทราบว่ารถฉุกเฉินที่จอดอยู่
เพิ่งเข้ามาจอดหรือเตรียมจะออกกันแน่ และไม่รู้ด้วยว่ามีผู้ป่วยฉุกเฉินรอขึ้นรถฉุกเฉิน
ภรรยาต้องไปติดต่อทำประวัติกับพยาบาล ตนจึงต้องเข็นแม่ไปขึ้นเตียงในห้องฉุกเฉิน ช่วงนั้นไม่มี จนท.เข้ามาดูแล
ตนจึงต้องเรียกให้ จนท.เข้ามาดูแลแม่ด้วย เป็นจังหวะที่ จนท.มาบอกให้ตนไปเลื่อนรถ แต่ไม่ได้บอกว่า มีผู้ป่วยวิกฤติรอขึ้นรถฉุกเฉินอยู่
ตนเลยบอกกับ จนท.ว่าตนขอพาแม่ขึ้นเตียงผู้ป่วยก่อน แล้วจะไปขยับรถให้ ตอนนั้นหากมี จนท.มารับแม่ตนไปขึ้นเตียงผู้ป่วย
แล้วบอกตนว่าให้ตนไปขยับรถให้ผู้ป่วยอีกรายหนึ่งก่อน มันก็คงไม่เกิดปัญหานี้ขึ้นมา
ตนจึงหันไปบ่นต่อว่ากับ จนท.ว่าทำไมถึงไม่แบ่งคนดูแล จากนั้นตนก็เดินออกจากห้องเพื่อจะไปเลื่อนรถให้ แต่ตนก็ไม่เห็นผู้ป่วยฉุกเฉินดังกล่าวแล้ว
ก็เข้าใจว่า จนท.น่าจะพาขึ้นรถฉุกเฉินไปแล้ว จังหวะที่เดินออกมา ตนก็เห็นลูกสาวของผู้ป่วยคนดังกล่าว มาพูดกับตน ว่าให้ช่วยเลื่อนรถให้
ตนก็เดินออกมาจะเลื่อนรถ แต่ก็เห็นว่ารถฉุกเฉินเคลื่อนตัวออกไปแล้ว ทางญาติของผู้ป่วยรายดังกล่าวก็มายืนต่อว่าภรรยาตน
ตนก็ต้องพูดคุยเพื่ออธิบาย ว่าแม่ของตนก็อาการหนักเหมือนกันเพราะหายใจไม่ออก
หลังจากนั้นตนเองก็ไม่ทราบจริงๆ ว่าผู้ป่วยรายดังกล่าวจะไปเสียชีวิตตรงไหน ..........
.........ตอนนั้นตนเองก็กำลังจะเดินไปขยับรถให้อยู่ แต่ทางโรงพยาบาลไม่สื่อสารให้เห็นทั้งหมด
ทำให้คนเข้าใจว่าเป็นการกราบอ้อนวอนขอ ซึ่งตนเองก็ไม่ได้โต้เถียงอะไรกับลูกสาวผู้ตายเลย
อย่างไรก็ตามหลังเกิดเรื่อง ตนเองก็เตรียมส่งเงินชดเชยส่วนหนึ่งจากบริษัทที่ทำงานไปให้กับญาติผู้เสียชีวิต
ส่วนตัวของตนเองก็ถูกบริษัทเลิกจ้างไปแล้ว ต้องกลายเป็นคนตกงาน ค่าชดเชยจากบริษัทตนเองก็ไม่ได้ ส่วนภรรยาก็ต้องรอออกจากงานสิ้นปีเช่นกัน
ส่วนที่โรงพยาบาลกับญาติผู้เสียชีวิต จะดำเนินคดีกับตน ก็ต้องว่ากันไปตามกระบวนการ เพราะเขาเสียชีวิตไปแล้วมันก็เป็นเรื่องของคดีอาญา
แต่จะให้ตนติดต่อหาญาติผู้เสียชีวิตตอนนี้ ตนคงยังไม่ติดต่อ เพราะตอนนี้มันยังเป็นกระแส และญาติผู้เสียชีวิตคงยังทำใจไม่ได้
อาจต้องรอให้เสร็จเรื่องงานศพไปก่อน จึงจะติดต่อไปพูดคุยกันอีกที
ในส่วนของการเตรียมแจ้งความดำเนินคดีของทาง รพ.ปลายพระยา เบื้องต้นทางนิติกรของโรงพยาบาล มองว่ากรณีดังกล่าว
อาจเข้าข่ายความผิดในหลายข้อหา เช่น ดูหมิ่นเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136 ข้อหาต่อสู้ขัดขวางเจ้าหน้าที่ขณะปฏิบัติงาน มาตรา 138 ข้อหาฆ่าผู้อื่น มาตรา 288 และข้อหากระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย มาตรา 291
คิดว่า เรื่องนี้ มี 3 ฝ่าย
1 คุณผช. น่าจะมีคนเห็นใจ พอสมควร เพราะ รักเเม่ตัวเอง และ
2.ทางลุงที่ ตาย อันนี้ คนคงเห็นใจหมด
3.ทางรพ.ก็คงมีโจทก์เก่า อยู่บ้าง( ไม่มี รพ.ไหนหรอก ที่รักษาหาย+ถูกใจคน100เปอร์เซนต์)
คนที่ ชอบ 1 +2 เเต่ ไม่ชอบ 3 ก็ มองว่า รพ.เองไม่ยอมแบ่งคน มาให้1 เลย เเละ เสียเวลาไม่เลื่อนรถเอง( เห็น อยู่หลายกระทู้ )
เเต่ ผมมอง ว่า เคสนี้ มันคล้ายๆ กับ กรณี
1.ตบพยาบาลที่ ระยอง ใน ไอซียู เพราะ อ้าง พยาบาล พูดไล่ เลยบันดาลโทสะจณะเยี่ยมเเม่ / ตกงาน รอลงอาญา
2.ขับรถชน คุณหมอ กระต่าย บนทางม้าลาย อันนี้ ภาพชัดเจนเหมือนเคสนี้ สุดท้าย ตกงาน ติดคุก
3.คดี ครองครองปรปักษ์บ้านอากู๋ อันนี้ สุดท้าย มีคนผูกคอตาย เพราะ สังคมกดดัน/ ทั้งๆที่ ทนาย บอกว่า มีทางสู้
และ ทางผช.ที่ขับกระบะ ดูจากการวห้สัมภาษณ์ ออกมาแนว ภาคเสธ ยังไม่ยอมรับผิด เช่น
เตรียมส่งเงินชดเชยส่วนหนึ่งจากบริษัทที่ทำงานไปให้กับญาติผู้เสียชีวิต
มันก็เป็นเรื่องของคดีอาญา แต่จะให้ตนติดต่อหาญาติผู้เสียชีวิตตอนนี้ ตนคงยังไม่ติดต่อ
ผมว่า
1. คุณ ควร ไป งานศพ โกนหัวเข้าวัด ก่อนเลย/ เงินที่จะให้ ผมว่าเขาคงไม่รับหรอกครับ
2. ไหว้สวย รวยกระเช้า ที่ รพ.ปลายพระยา
3.สารภาพ ยอมรับผิด เถอะครับ สู้ติดแน่ แพ้ติดนาน
ไม่เช่นนั้น ผมว่า แม่คุณ อยู่ใน สังคม ตจว.ยาก ครับ
จาก ที่ได้ยิน ชายที่จอดรถปิดท้าย รถพยาบาล ที่ ปลายพระยาให้สัมภาษณ อยากให้คำแนะนำ ก่อนที่จะสายไป
วันเกิดเหตุตนเองพาแม่ วัย 69 ปี มีอาการป่วยด้วยกรดไหลย้อน ทำให้จุกแน่นหายใจไม่ออก ไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ก็คือโรงพยาบาลปลายพระยา
ตอนที่ตนจอดส่งแม่ ก็ไม่มี จนท.ของโรงพยาบาลมารับตัว ตนจึงต้องให้ภรรยาไปเอารถเข็นและช่วยกันเข็นแม่เข้าไปในห้องฉุกเฉิน
เพราะแม่มีอาการอ่อนแรงไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ตอนนั้นตนเองก็ไม่ทราบว่ารถฉุกเฉินที่จอดอยู่
เพิ่งเข้ามาจอดหรือเตรียมจะออกกันแน่ และไม่รู้ด้วยว่ามีผู้ป่วยฉุกเฉินรอขึ้นรถฉุกเฉิน
ภรรยาต้องไปติดต่อทำประวัติกับพยาบาล ตนจึงต้องเข็นแม่ไปขึ้นเตียงในห้องฉุกเฉิน ช่วงนั้นไม่มี จนท.เข้ามาดูแล
ตนจึงต้องเรียกให้ จนท.เข้ามาดูแลแม่ด้วย เป็นจังหวะที่ จนท.มาบอกให้ตนไปเลื่อนรถ แต่ไม่ได้บอกว่า มีผู้ป่วยวิกฤติรอขึ้นรถฉุกเฉินอยู่
ตนเลยบอกกับ จนท.ว่าตนขอพาแม่ขึ้นเตียงผู้ป่วยก่อน แล้วจะไปขยับรถให้ ตอนนั้นหากมี จนท.มารับแม่ตนไปขึ้นเตียงผู้ป่วย
แล้วบอกตนว่าให้ตนไปขยับรถให้ผู้ป่วยอีกรายหนึ่งก่อน มันก็คงไม่เกิดปัญหานี้ขึ้นมา
ตนจึงหันไปบ่นต่อว่ากับ จนท.ว่าทำไมถึงไม่แบ่งคนดูแล จากนั้นตนก็เดินออกจากห้องเพื่อจะไปเลื่อนรถให้ แต่ตนก็ไม่เห็นผู้ป่วยฉุกเฉินดังกล่าวแล้ว
ก็เข้าใจว่า จนท.น่าจะพาขึ้นรถฉุกเฉินไปแล้ว จังหวะที่เดินออกมา ตนก็เห็นลูกสาวของผู้ป่วยคนดังกล่าว มาพูดกับตน ว่าให้ช่วยเลื่อนรถให้
ตนก็เดินออกมาจะเลื่อนรถ แต่ก็เห็นว่ารถฉุกเฉินเคลื่อนตัวออกไปแล้ว ทางญาติของผู้ป่วยรายดังกล่าวก็มายืนต่อว่าภรรยาตน
ตนก็ต้องพูดคุยเพื่ออธิบาย ว่าแม่ของตนก็อาการหนักเหมือนกันเพราะหายใจไม่ออก
หลังจากนั้นตนเองก็ไม่ทราบจริงๆ ว่าผู้ป่วยรายดังกล่าวจะไปเสียชีวิตตรงไหน ..........
.........ตอนนั้นตนเองก็กำลังจะเดินไปขยับรถให้อยู่ แต่ทางโรงพยาบาลไม่สื่อสารให้เห็นทั้งหมด
ทำให้คนเข้าใจว่าเป็นการกราบอ้อนวอนขอ ซึ่งตนเองก็ไม่ได้โต้เถียงอะไรกับลูกสาวผู้ตายเลย
อย่างไรก็ตามหลังเกิดเรื่อง ตนเองก็เตรียมส่งเงินชดเชยส่วนหนึ่งจากบริษัทที่ทำงานไปให้กับญาติผู้เสียชีวิต
ส่วนตัวของตนเองก็ถูกบริษัทเลิกจ้างไปแล้ว ต้องกลายเป็นคนตกงาน ค่าชดเชยจากบริษัทตนเองก็ไม่ได้ ส่วนภรรยาก็ต้องรอออกจากงานสิ้นปีเช่นกัน