เทรนด์คนรักสัตว์ยังมาแรงต่อเนื่อง คนที่รักน้องหมาน้องแมว มักจะกอด หอมสัตว์เลี้ยงแสนรักอยู่เป็นประจำ บางคนยังมีความเชื่อที่ว่าขนของสัตว์เหล่านั้นอาจถูกสูดเข้าสู่ปอด ก่อให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา แต่ยังมีข้อถกเถียงกันว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่
สาระน่ารู้จาก “คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล” ให้ความกระจ่าง สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องนี้ว่า เมื่ออยู่ใกล้สัตว์เลี้ยง ขนสัตว์เลี้ยงอาจปลิวอยู่ในอากาศ และหายใจเอาขนสัตว์เล็กๆ เข้าไปในระบบทางเดินหายใจได้
แต่ส่วนใหญ่ขนสัตว์จะถูกดักจับอยู่ในจมูกหรือลำคอ ก่อนที่จะเข้าสู่ปอด จึงทำให้ยากมากที่ขนแมวหรือขนหมาจะเข้าสู่ปอดได้
ขณะที่ร่างกายมีระบบการกรองและการกำจัดสิ่งแปลกปลอมออกจากระบบทางเดินหายใจ เช่น ขนสัตว์เลี้ยงขนาดเล็กๆ จะถูกดักจับโดยเมือกและขนจมูก ซึ่งหลังจากถูกจับ ขนเหล่านั้นจะถูกขับออกมาผ่านการไอ จาม หรือการกลืนลงกระเพาะอาหาร
ขนสัตว์เลี้ยงที่มีขนาดใหญ่เกินกว่าฝุ่นละอองทั่วไป มักจะไม่สามารถผ่านเข้าถึงปอดได้ และจะถูกดักจับอยู่ในส่วนบนของระบบทางเดินหายใจ จึงทำให้เปอร์เซ็นต์ที่ขนสัตว์จะเข้าสู่ปอดน้อยมาก
ผลกระทบต่อสุขภาพจากขนสัตว์เลี้ยง
-อาการแพ้ (Allergic reactions) ผู้ที่แพ้รังแคและขนสัตว์เลี้ยง อาจมีอาการจาม คันตา น้ำมูกไหล หรือมีผื่นขึ้น เมื่อสัมผัสกับรังแคและขนสัตว์เลี้ยง ส่วนสารที่ทำให้แพ้นั้น คือโปรตีนในน้ำลาย ปัสสาวะ หรือรังแค ของสัตว์ที่ติดมากับขน
-โรคหอบหืด (Asthma) สำหรับผู้ที่มีโรคหอบหืด การสัมผัสกับรังแค ขนสัตว์เลี้ยง และสารก่อภูมิแพ้ที่ติดมากับขนสัตว์อาจทำให้อาการหอบหืดกำเริบได้
-การติดเชื้อ ในบางกรณีหายาก ขนสัตว์เลี้ยงที่ปนเปื้อนเชื้อโรคอาจเป็นสื่อกลางการนำเชื้อเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ แต่ไม่ใช่การเข้าไปฝังในปอดโดยตรงอย่างที่กล่าวไปข้างต้น
วิธีป้องกันและลดความเสี่ยงโรคจากขนสัตว์เลี้ยง
@ การทำความสะอาดบ้าน ทำความสะอาดบ้านและพื้นที่ที่สัตว์เลี้ยงอยู่บ่อย ๆ เพื่อลดปริมาณรังแคและขนสัตว์เลี้ยงที่ตกอยู่ในบ้าน หรือใช้เครื่องดูดฝุ่นที่มีตัวกรอง HEPA เพื่อลดฝุ่นและขนสัตว์ในอากาศ
@ การดูแลสัตว์เลี้ยง แปรงขนสัตว์เลี้ยงอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดการหลุดร่วงของขน และอาบน้ำให้สัตว์เลี้ยงเพื่อรักษาความสะอาด ป้องกันเชื้อโรคต่าง ๆโดยผู่ที่ไม่มีประวัติการแพ้รังแคหรือขนสัตว์มาก่อน
@ การจัดการสุขภาพของผู้ที่แพ้ หากมีอาการแพ้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาและคำแนะนำในการจัดการกับอาการแพ้ โดยเฉพาะผู้ที่แพ้ขนสัตว์แต่เลี้ยงสัตว์เลี้ยง
วิธีดูแลสัตว์เลี้ยงเพื่อลดปริมาณสารก่อภูมิแพ้
1.การอาบน้ำให้สัตว์เลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงใช้แชมพูสำหรับสัตว์เลี้ยงที่เหมาะสมกับชนิดและสภาพขนของสัตว์เลี้ยง รวมถึงปราศจากสารเคมีที่เป็นอันตราย
2.การแปรงขนเป็นประจำ อย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือทุกวันถ้าเป็นไปได้ โดยใช้แปรงที่เหมาะสมกับประเภทขนซึ่งการแปรงขนช่วยกำจัดขนที่หลุดร่วงและลดการสะสมของรังแคซึ่งเป็นสารก่อภูมิแพ้และเป็นแหล่งอาหารของเชื้อโรค
3.การตรวจสุขภาพผิวหนังและขนของสัตว์เลี้ยงเป็นประจำ เพื่อหาหมัด เห็บ หรือปรสิตอื่นๆ ที่อาจเป็นพาหะนำเชื้อโรค หากพบให้รีบกำจัดและรักษาตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ ทั้งนี้ถ้าพบว่ามีรอยแดง ผื่น หรือการหลุดร่วงของขนผิดปกติ ควรพาสัตว์เลี้ยงไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจสอบและรักษา
4.การใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันพยาธิ ปรสิต เห็บ และหมัด ตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์เลี้ยงอ่อนแอ และติดเชื้อโรคได้ง่าย
5.การรักษาความสะอาดของที่อยู่อาศัย ที่นอน ผ้าห่ม และของเล่นของสัตว์เลี้ยงเป็นประจำ เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อโรคและปรสิต รวมถึงจัดให้สัตว์เลี้ยงอยู่เป็นสัดส่วนแยกจากที่อยู่อาศัยคน และใช้เครื่องฟอกอากาศ
6.การให้อาหารที่มีคุณภาพและมีสารอาหารที่สมดุลแก่สัตว์เลี้ยง เพื่อเสริมสร้างสุขภาพผิวหนังและขนให้แข็งแรง รวมถึวให้สัตว์เลี้ยงดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียงพอ เพื่อช่วยรักษาสุขภาพโดยรวม
7.การดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยง พาไปพบสัตวแพทย์เป็นประจำ เช่น การตรวจสุขภาพประจำปี การฉีดวัคซีน และการให้คำปรึกษาเรื่องสุขภาพจากสัตวแพทย์เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันโรคต่างๆ อีกทั้งให้สัตว์เลี้ยงมีการออกกำลังกายที่เหมาะสมและสม่ำเสมอ เพื่อเสริมสร้างสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง
โดยสรุปแล้ว ขนสัตว์เลี้ยงมีโอกาสน้อยมากที่จะเข้าสู่ปอดและทำให้เกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรงโดยตรง เนื่องจากระบบทางเดินหายใจของร่างกายมีการป้องกันและกำจัดสิ่งแปลกปลอมอย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม ขนสัตว์เลี้ยงและสารก่อภูมิแพ้ที่ติดมากับขนอาจทำให้เกิดอาการแพ้ หรือทำให้ผู้ที่มีอาการโรคทางเดินหายใจเรื้อรังแย่ลงได้ การดูแลความสะอาดของบ้านและสัตว์เลี้ยงอย่างเหมาะสมสามารถช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้
สามารถติดตามต่อได้ที่ :
https://www.dailynews.co.th/news/5215035/
จริงหรือไม่ ‘ขนสัตว์เลี้ยง’ เข้าปอดได้
สาระน่ารู้จาก “คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล” ให้ความกระจ่าง สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องนี้ว่า เมื่ออยู่ใกล้สัตว์เลี้ยง ขนสัตว์เลี้ยงอาจปลิวอยู่ในอากาศ และหายใจเอาขนสัตว์เล็กๆ เข้าไปในระบบทางเดินหายใจได้ แต่ส่วนใหญ่ขนสัตว์จะถูกดักจับอยู่ในจมูกหรือลำคอ ก่อนที่จะเข้าสู่ปอด จึงทำให้ยากมากที่ขนแมวหรือขนหมาจะเข้าสู่ปอดได้
ขณะที่ร่างกายมีระบบการกรองและการกำจัดสิ่งแปลกปลอมออกจากระบบทางเดินหายใจ เช่น ขนสัตว์เลี้ยงขนาดเล็กๆ จะถูกดักจับโดยเมือกและขนจมูก ซึ่งหลังจากถูกจับ ขนเหล่านั้นจะถูกขับออกมาผ่านการไอ จาม หรือการกลืนลงกระเพาะอาหาร
ขนสัตว์เลี้ยงที่มีขนาดใหญ่เกินกว่าฝุ่นละอองทั่วไป มักจะไม่สามารถผ่านเข้าถึงปอดได้ และจะถูกดักจับอยู่ในส่วนบนของระบบทางเดินหายใจ จึงทำให้เปอร์เซ็นต์ที่ขนสัตว์จะเข้าสู่ปอดน้อยมาก
ผลกระทบต่อสุขภาพจากขนสัตว์เลี้ยง
-อาการแพ้ (Allergic reactions) ผู้ที่แพ้รังแคและขนสัตว์เลี้ยง อาจมีอาการจาม คันตา น้ำมูกไหล หรือมีผื่นขึ้น เมื่อสัมผัสกับรังแคและขนสัตว์เลี้ยง ส่วนสารที่ทำให้แพ้นั้น คือโปรตีนในน้ำลาย ปัสสาวะ หรือรังแค ของสัตว์ที่ติดมากับขน
-โรคหอบหืด (Asthma) สำหรับผู้ที่มีโรคหอบหืด การสัมผัสกับรังแค ขนสัตว์เลี้ยง และสารก่อภูมิแพ้ที่ติดมากับขนสัตว์อาจทำให้อาการหอบหืดกำเริบได้
-การติดเชื้อ ในบางกรณีหายาก ขนสัตว์เลี้ยงที่ปนเปื้อนเชื้อโรคอาจเป็นสื่อกลางการนำเชื้อเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ แต่ไม่ใช่การเข้าไปฝังในปอดโดยตรงอย่างที่กล่าวไปข้างต้น
วิธีป้องกันและลดความเสี่ยงโรคจากขนสัตว์เลี้ยง
@ การทำความสะอาดบ้าน ทำความสะอาดบ้านและพื้นที่ที่สัตว์เลี้ยงอยู่บ่อย ๆ เพื่อลดปริมาณรังแคและขนสัตว์เลี้ยงที่ตกอยู่ในบ้าน หรือใช้เครื่องดูดฝุ่นที่มีตัวกรอง HEPA เพื่อลดฝุ่นและขนสัตว์ในอากาศ
@ การดูแลสัตว์เลี้ยง แปรงขนสัตว์เลี้ยงอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดการหลุดร่วงของขน และอาบน้ำให้สัตว์เลี้ยงเพื่อรักษาความสะอาด ป้องกันเชื้อโรคต่าง ๆโดยผู่ที่ไม่มีประวัติการแพ้รังแคหรือขนสัตว์มาก่อน
@ การจัดการสุขภาพของผู้ที่แพ้ หากมีอาการแพ้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาและคำแนะนำในการจัดการกับอาการแพ้ โดยเฉพาะผู้ที่แพ้ขนสัตว์แต่เลี้ยงสัตว์เลี้ยง
วิธีดูแลสัตว์เลี้ยงเพื่อลดปริมาณสารก่อภูมิแพ้
1.การอาบน้ำให้สัตว์เลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงใช้แชมพูสำหรับสัตว์เลี้ยงที่เหมาะสมกับชนิดและสภาพขนของสัตว์เลี้ยง รวมถึงปราศจากสารเคมีที่เป็นอันตราย
2.การแปรงขนเป็นประจำ อย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือทุกวันถ้าเป็นไปได้ โดยใช้แปรงที่เหมาะสมกับประเภทขนซึ่งการแปรงขนช่วยกำจัดขนที่หลุดร่วงและลดการสะสมของรังแคซึ่งเป็นสารก่อภูมิแพ้และเป็นแหล่งอาหารของเชื้อโรค
3.การตรวจสุขภาพผิวหนังและขนของสัตว์เลี้ยงเป็นประจำ เพื่อหาหมัด เห็บ หรือปรสิตอื่นๆ ที่อาจเป็นพาหะนำเชื้อโรค หากพบให้รีบกำจัดและรักษาตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ ทั้งนี้ถ้าพบว่ามีรอยแดง ผื่น หรือการหลุดร่วงของขนผิดปกติ ควรพาสัตว์เลี้ยงไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจสอบและรักษา
4.การใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันพยาธิ ปรสิต เห็บ และหมัด ตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์เลี้ยงอ่อนแอ และติดเชื้อโรคได้ง่าย
5.การรักษาความสะอาดของที่อยู่อาศัย ที่นอน ผ้าห่ม และของเล่นของสัตว์เลี้ยงเป็นประจำ เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อโรคและปรสิต รวมถึงจัดให้สัตว์เลี้ยงอยู่เป็นสัดส่วนแยกจากที่อยู่อาศัยคน และใช้เครื่องฟอกอากาศ
6.การให้อาหารที่มีคุณภาพและมีสารอาหารที่สมดุลแก่สัตว์เลี้ยง เพื่อเสริมสร้างสุขภาพผิวหนังและขนให้แข็งแรง รวมถึวให้สัตว์เลี้ยงดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียงพอ เพื่อช่วยรักษาสุขภาพโดยรวม
7.การดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยง พาไปพบสัตวแพทย์เป็นประจำ เช่น การตรวจสุขภาพประจำปี การฉีดวัคซีน และการให้คำปรึกษาเรื่องสุขภาพจากสัตวแพทย์เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันโรคต่างๆ อีกทั้งให้สัตว์เลี้ยงมีการออกกำลังกายที่เหมาะสมและสม่ำเสมอ เพื่อเสริมสร้างสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง
โดยสรุปแล้ว ขนสัตว์เลี้ยงมีโอกาสน้อยมากที่จะเข้าสู่ปอดและทำให้เกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรงโดยตรง เนื่องจากระบบทางเดินหายใจของร่างกายมีการป้องกันและกำจัดสิ่งแปลกปลอมอย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม ขนสัตว์เลี้ยงและสารก่อภูมิแพ้ที่ติดมากับขนอาจทำให้เกิดอาการแพ้ หรือทำให้ผู้ที่มีอาการโรคทางเดินหายใจเรื้อรังแย่ลงได้ การดูแลความสะอาดของบ้านและสัตว์เลี้ยงอย่างเหมาะสมสามารถช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้
สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/5215035/