สุขวิชโนมิกส์: การศึกษาเพื่อปวงชน
Epigraph
“All sort of boundaries, be they gender, age, socio-economic status, physical or mental disabilities have to be eliminated.”
— UNESCO, Inaugural Address and Keynote Speech by His Excellency Mr. Sukavich Rangsitpol
https://unesdoc.unesco.org/ark:/48223/pf0000122102
บทคัดย่อ
แถลงการณ์สำคัญนี้โดย ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งได้กล่าวใน การประชุมเชิงปรึกษาระดับภูมิภาคของ UNESCO เรื่องการที่จังหวัดชลบุรี ประเทศไทย (16–18 กันยายน 2539) ได้สรุปวิสัยทัศน์เชิงยุทธศาสตร์ของประเทศไทยในการพัฒนาทุนมนุษย์ผ่านการเรียนรู้ตลอดชีวิต
สุนทรพจน์นี้เน้นถึงความจำเป็นในการขยายโอกาสทางการศึกษาให้กว้างออกไปนอกเหนือจากระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อรองรับความท้าทายทางสังคมและเศรษฐกิจที่เกิดจากโลกาภิวัตน์ โดยมีแนวทางการจัดบริการการศึกษาของประเทศไทย สามระยะ ได้แก่:
ระยะสั้น: การศึกษาเพื่อรู้หนังสือทั่วไป รวมถึงความรู้ด้านเทคโนโลยี
ระยะกลาง: การขยายการศึกษาภาคบังคับเป็น 9 ปี เพื่อพัฒนาทักษะแรงงาน
ระยะยาว: การเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปี สำหรับทุกคน ผ่านทั้งระบบการศึกษาแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ในที่สุดสามารถผลักดันจนถึงรัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา 43 ภายใน 2 ปี
บทกล่าวสุนทรพจน์นี้วางการศึกษาเป็น เครื่องมือหลัก ในการลดความยากจน เพิ่มผลผลิตของชาติ ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างประชากรในเมืองและชนบท และสร้างความเข้มแข็งให้ประชาชนผ่านการมีส่วนร่วมทางประชาธิปไตย
ฯพณฯ สุขวิชยังสนับสนุน การกระจายอำนาจในการบริหารการศึกษา การมีส่วนร่วมของชุมชนในการบริหารโรงเรียน และการสร้าง “สังคมแห่งการเรียนรู้” บนพื้นฐานของการเรียนรู้ตลอดชีวิตและการศึกษาต่อเนื่อง
สุนทรพจน์นี้ถือเป็นการวางรากฐานเชิงปรัชญาสำคัญของ การอภิวัฒน์การศึกษาไทย ปี 2538 และ ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ ซึ่งเป็นรูปแบบการพัฒนาประเทศโดยยึดการศึกษาเป็นศูนย์กลาง
บทนำ
พิธีเปิดและสุนทรพจน์สำคัญโดย ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ในการประชุมเชิงปรึกษาระดับภูมิภาคของ UNESCO ซึ่งจัดขึ้นที่จังหวัดชลบุรี ประเทศไทย (16–18 กันยายน 2539) ได้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตและการศึกษาสำหรับทุกคน สุนทรพจน์นี้เน้นความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยชี้ให้เห็นถึงความร่วมมือของประเทศไทยกับ UNESCO และองค์กรระหว่างประเทศอื่น ๆ ในโครงการต่าง ๆ เช่น การประชุมสมัชชาโลกและการประชุมโลกว่าด้วยการศึกษาสำหรับทุกคน (1990)
ฯพณฯ สุขวิช เน้นย้ำว่าบุคคลทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเรียนรู้ตามความสามารถและความต้องการของตน และรัฐบาลต้องจัดให้มีการศึกษาที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน การศึกษาได้รับการนำเสนอว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดความยากจน ปรับปรุงผลผลิต เพิ่มศักยภาพทุนมนุษย์ และส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน
ท่านได้กำหนดกลยุทธ์การพัฒนาการศึกษาในประเทศไทยในสามระยะ ได้แก่:
ระยะสั้น: มุ่งเน้นการรู้หนังสือ รวมถึงความรู้ด้านเทคโนโลยี เพื่อให้ประชาชนสามารถดำรงชีวิตในสังคมสมัยใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลข่าวสารได้
ระยะกลาง: ขยายการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็น 9 ปี เพื่อให้แรงงานที่ไม่มีทักษะได้รับความรู้และทักษะที่จำเป็น
ระยะยาว: จัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปี สำหรับทุกคน โดยการศึกษานอกระบบยังคงสนับสนุนการศึกษาระดับสูงและการเรียนรู้ตลอดชีวิต
สุนทรพจน์ยังเน้นถึงความจำเป็นของการปฏิรูปการศึกษาในสี่ด้านสำคัญ ได้แก่ โรงเรียน ครู หลักสูตร และระบบบริหาร โดยให้ความสำคัญกับการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมของท้องถิ่น ด้วยการแก้ไขความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองและชนบท และส่งเสริมการเข้าถึงอย่างทั่วถึง ประเทศไทยมุ่งสร้าง “สังคมแห่งการเรียนรู้” ที่บุคคลและชุมชนสามารถเข้าถึงความรู้และทักษะที่จำเป็นต่อการมีส่วนร่วมทางประชาธิปไตย การเคลื่อนตัวทางสังคม และการปรับตัวต่อโลกาภิวัตน์
ท้ายที่สุด สุนทรพจน์นี้ยืนยันอีกครั้งถึงวิสัยทัศน์ของประเทศไทยที่มองว่าการศึกษาเป็นรากฐานของการพัฒนาทุนมนุษย์ ความเสมอภาคทางสังคม และความก้าวหน้าของชาติ พร้อมทั้งเชิญชวนทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการสร้างระบบการศึกษาที่ยั่งยืนและครอบคลุมทุกคน
วรรณกรรมปริทัศน์
สุนทรพจน์โดย ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ในการประชุมปรึกษาหารือระดับภูมิภาคของยูเนสโก (ชลบุรี, 2539) นำเสนอกรอบแนวคิดเชิงรากฐานของการปฏิรูปการศึกษาไทยภายใต้ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ โดยเฉพาะการขับเคลื่อนแนวคิด “การศึกษาเพื่อปวงชน” (Education for All) ฯพณฯ สุขวิช เน้นย้ำบทบาทสำคัญของการศึกษาในการขจัดความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม–เศรษฐกิจ และยกระดับทุนมนุษย์ ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางของการประชุม World Conference on Education for All (1990) ในระดับนานาชาติ
ท่านได้นำเสนอ ยุทธศาสตร์สามระยะ ได้แก่
ระยะสั้น – ส่งเสริมการรู้หนังสือ
ระยะกลาง – ขยายการศึกษาภาคบังคับเป็น 9 ปี
ระยะยาว – จัดให้มีการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปีสำหรับประชาชนทุกคน รากฐานความสำเร็จของ มาตรา43 ในรัฐธรรมนูญ2540
พร้อมด้วยระบบการศึกษานอกระบบที่เข้มแข็ง แนวทางดังกล่าวคือ ที่มาของนโยบาย “การเรียนรู้ตลอดชีวิต” (Lifelong Learning) และยังมองการณ์ไกลด้วยการส่งเสริม ความรู้เท่าทันเทคโนโลยี เพื่อให้ประชาชนสามารถแข่งขันในยุคโลกาภิวัตน์ได้
ภายใต้ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์การศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน โดยเชื่อมโยงกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ การพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ และความเสมอภาคทางการศึกษาในทุกภูมิภาค วรรณกรรมด้านความเสมอภาคทางการศึกษาและการนำนโยบายไปปฏิบัติในประเทศกำลังพัฒนาสนับสนุนแนวทางนี้ โดยชี้ว่าการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการศึกษาช่วยลดความเหลื่อมล้ำและเสริมสร้างความเป็นเจ้าของร่วม (UNESCO, 1996; Tilak, 2002) นโยบายการศึกษาฟรีสำหรับเด็กยากจน 12 ปี รวมทั้งอนุบาล 3 ปี ควบคู่กับการขยายโอกาสทางการศึกษานอกระบบ สอดคล้องกับแนวคิดเรื่องความเท่าเทียมทางการศึกษาและการพัฒนาทักษะสมรรถนะในบริบทการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมเทคโนโลยีและอุตสาหกรรม
ยิ่งไปกว่านั้น สุนทรพจน์ของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ยังเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สำคัญต่อการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างนโยบายการศึกษาและการพัฒนาทุนมนุษย์ โดยให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ตลอดชีวิตและการพัฒนาทักษะที่ยืดหยุ่น ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีร่วมสมัยที่มองว่าการศึกษาไม่ใช่เพียงเครื่องมือทางเศรษฐกิจ แต่เป็นกลไกสร้างความเป็นธรรมทางสังคม ความเข้มแข็งของประชาธิปไตย และความมั่นคงของสังคม วรรณกรรมจำนวนมากจึงมองการอภิวัฒน์การศึกษาไทยในช่วงปี 2538–2540 เป็นกรณีศึกษาที่สำคัญระดับนานาชาติว่าด้วยการนำนโยบายการศึกษาสาธารณะไปสู่การปฏิบัติ ผ่านยุทธศาสตร์ผู้นำระดับชาติ การสอดประสานกับกรอบแนวนโยบายสากล และการมีส่วนร่วมของชุมชนในการสร้างความเสมอภาค คุณภาพ และความยั่งยืนทางการศึกษา
เอกสารอ้างอิง
UNESCO. (1996). Inaugural Address and Keynote Speech by His Excellency Mr. Sukavich Rangsitpol at the UNESCO Conference, Chonburi, Thailand, September 16–18. UNESCO Digital Library. pp. 53–56
Tilak, J.B.G. (2002). Education and Poverty. Journal of Human Development, 3(2), 191–207.
ระเบียบวิธีวิจัย (Methodology)
การศึกษาครั้งนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพโดยอาศัย การวิเคราะห์เนื้อหา (Qualitative Content Analysis) เพื่อศึกษาสุนทรพจน์ปาฐกถาพิเศษในการประชุมปรึกษาหารือระดับภูมิภาคของยูเนสโก (UNESCO Regional Consultation) ซึ่งจัดขึ้นที่จังหวัดชลบุรี ระหว่างวันที่ 16–18 กันยายน พ.ศ. 2539 โดย ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล
1. การคัดเลือกเอกสาร (Document Selection)
เอกสารหลักที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ สุนทรพจน์ฉบับเต็ม ของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ซึ่งสืบค้นจากคลังข้อมูลดิจิทัลของยูเนสโก (UNESCO Digital Library, 1996, หน้า 53–56) โดยเลือกเอกสารนี้เนื่องจากเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่สะท้อนวิสัยทัศน์ด้านการปฏิรูปการศึกษาไทย หรือ ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ (Sukavichinomics)
2. การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)
เนื้อหาของสุนทรพจน์ถูกถอดรหัสเชิงประเด็น (coding) เพื่อตรวจหาแนวคิดสำคัญ ดังนี้
สิทธิในการศึกษาและการเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียม
ยุทธศาสตร์ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวของการศึกษาในระบบ และการศึกษานอกระบบ
การรู้หนังสือและความรู้เท่าทันเทคโนโลยี
การปฏิรูปการศึกษา: โรงเรียน ครู หลักสูตร และระบบบริหาร
ความเสมอภาคทางสังคมและการลดความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองกับชนบท
แนวคิด “สังคมแห่งการเรียนรู้” และการเรียนรู้ตลอดชีวิต
3. การจัดหมวดหมู่เชิงประเด็น (Thematic Categorization)
ข้อมูลที่ได้จากการถอดรหัสถูกจัดกลุ่มภายใต้กรอบแนวคิดหลัก ได้แก่
การพัฒนาทุนมนุษย์และการลดความยากจน
บทบาทของการศึกษาในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
การปฏิรูปเชิงสถาบันและโครงสร้างการบริหาร
การเรียนรู้ตลอดชีวิตและกลไกสนับสนุนการศึกษานอกระบบ
4. การตีความเชิงบริบท (Interpretation)
การตีความเนื้อหาดำเนินการเชื่อมโยงกับบริบทเศรษฐกิจและสังคมไทยในทศวรรษ 2530–2540 กระแสโลกาภิวัตน์ การพัฒนาเทคโนโลยี และพันธกิจของรัฐไทยในการขยายโอกาสทางการศึกษาให้เข้าถึงกลุ่มพลเมืองผู้ด้อยโอกาส โดยให้ความสำคัญทั้ง
สารเชิงนโยบายที่ปรากฏชัดเจน (explicit) และ
สารเชิงอุดมการณ์หรือสังคมการเมืองที่แฝงอยู่ (implicit messages)
5. ข้อจำกัดของการวิจัย (Limitations)
เนื่องจากเป็นงานวิเคราะห์เชิงคุณภาพจากเอกสารเพียงชิ้นเดียว ผลการศึกษาอาจมีลักษณะ เชิงอรรถาธิบายและตีความ (interpretive nature) ดังนั้นจึงควรตรวจสอบและสนับสนุนข้อค้นพบด้วยเอกสารทุติยภูมิ (secondary sources) ที่เกี่ยวข้อง เช่น
งานวิชาการด้านการปฏิรูปการศึกษาไทย
โครงการการรู้หนังสือของรัฐ
นโยบายด้านการศึกษาภายใต้ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์
ระเบียบวิธีนี้ช่วยให้สามารถทำความเข้าใจวิสัยทัศน์ด้านการศึกษาของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ได้อย่างเป็นระบบ ทั้งในมิติของนโยบาย ความเสมอภาคทางการศึกษา และการพัฒนาทุนมนุษย์ในระดับประเทศ
การศึกษาเพื่อปวงชน
Epigraph
“All sort of boundaries, be they gender, age, socio-economic status, physical or mental disabilities have to be eliminated.”
— UNESCO, Inaugural Address and Keynote Speech by His Excellency Mr. Sukavich Rangsitpol
https://unesdoc.unesco.org/ark:/48223/pf0000122102
บทคัดย่อ
แถลงการณ์สำคัญนี้โดย ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งได้กล่าวใน การประชุมเชิงปรึกษาระดับภูมิภาคของ UNESCO เรื่องการที่จังหวัดชลบุรี ประเทศไทย (16–18 กันยายน 2539) ได้สรุปวิสัยทัศน์เชิงยุทธศาสตร์ของประเทศไทยในการพัฒนาทุนมนุษย์ผ่านการเรียนรู้ตลอดชีวิต
สุนทรพจน์นี้เน้นถึงความจำเป็นในการขยายโอกาสทางการศึกษาให้กว้างออกไปนอกเหนือจากระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อรองรับความท้าทายทางสังคมและเศรษฐกิจที่เกิดจากโลกาภิวัตน์ โดยมีแนวทางการจัดบริการการศึกษาของประเทศไทย สามระยะ ได้แก่:
ระยะสั้น: การศึกษาเพื่อรู้หนังสือทั่วไป รวมถึงความรู้ด้านเทคโนโลยี
ระยะกลาง: การขยายการศึกษาภาคบังคับเป็น 9 ปี เพื่อพัฒนาทักษะแรงงาน
ระยะยาว: การเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปี สำหรับทุกคน ผ่านทั้งระบบการศึกษาแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ในที่สุดสามารถผลักดันจนถึงรัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา 43 ภายใน 2 ปี
บทกล่าวสุนทรพจน์นี้วางการศึกษาเป็น เครื่องมือหลัก ในการลดความยากจน เพิ่มผลผลิตของชาติ ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างประชากรในเมืองและชนบท และสร้างความเข้มแข็งให้ประชาชนผ่านการมีส่วนร่วมทางประชาธิปไตย
ฯพณฯ สุขวิชยังสนับสนุน การกระจายอำนาจในการบริหารการศึกษา การมีส่วนร่วมของชุมชนในการบริหารโรงเรียน และการสร้าง “สังคมแห่งการเรียนรู้” บนพื้นฐานของการเรียนรู้ตลอดชีวิตและการศึกษาต่อเนื่อง
สุนทรพจน์นี้ถือเป็นการวางรากฐานเชิงปรัชญาสำคัญของ การอภิวัฒน์การศึกษาไทย ปี 2538 และ ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ ซึ่งเป็นรูปแบบการพัฒนาประเทศโดยยึดการศึกษาเป็นศูนย์กลาง
บทนำ
พิธีเปิดและสุนทรพจน์สำคัญโดย ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ในการประชุมเชิงปรึกษาระดับภูมิภาคของ UNESCO ซึ่งจัดขึ้นที่จังหวัดชลบุรี ประเทศไทย (16–18 กันยายน 2539) ได้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตและการศึกษาสำหรับทุกคน สุนทรพจน์นี้เน้นความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยชี้ให้เห็นถึงความร่วมมือของประเทศไทยกับ UNESCO และองค์กรระหว่างประเทศอื่น ๆ ในโครงการต่าง ๆ เช่น การประชุมสมัชชาโลกและการประชุมโลกว่าด้วยการศึกษาสำหรับทุกคน (1990)
ฯพณฯ สุขวิช เน้นย้ำว่าบุคคลทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเรียนรู้ตามความสามารถและความต้องการของตน และรัฐบาลต้องจัดให้มีการศึกษาที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน การศึกษาได้รับการนำเสนอว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดความยากจน ปรับปรุงผลผลิต เพิ่มศักยภาพทุนมนุษย์ และส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน
ท่านได้กำหนดกลยุทธ์การพัฒนาการศึกษาในประเทศไทยในสามระยะ ได้แก่:
ระยะสั้น: มุ่งเน้นการรู้หนังสือ รวมถึงความรู้ด้านเทคโนโลยี เพื่อให้ประชาชนสามารถดำรงชีวิตในสังคมสมัยใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลข่าวสารได้
ระยะกลาง: ขยายการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็น 9 ปี เพื่อให้แรงงานที่ไม่มีทักษะได้รับความรู้และทักษะที่จำเป็น
ระยะยาว: จัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปี สำหรับทุกคน โดยการศึกษานอกระบบยังคงสนับสนุนการศึกษาระดับสูงและการเรียนรู้ตลอดชีวิต
สุนทรพจน์ยังเน้นถึงความจำเป็นของการปฏิรูปการศึกษาในสี่ด้านสำคัญ ได้แก่ โรงเรียน ครู หลักสูตร และระบบบริหาร โดยให้ความสำคัญกับการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมของท้องถิ่น ด้วยการแก้ไขความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองและชนบท และส่งเสริมการเข้าถึงอย่างทั่วถึง ประเทศไทยมุ่งสร้าง “สังคมแห่งการเรียนรู้” ที่บุคคลและชุมชนสามารถเข้าถึงความรู้และทักษะที่จำเป็นต่อการมีส่วนร่วมทางประชาธิปไตย การเคลื่อนตัวทางสังคม และการปรับตัวต่อโลกาภิวัตน์
ท้ายที่สุด สุนทรพจน์นี้ยืนยันอีกครั้งถึงวิสัยทัศน์ของประเทศไทยที่มองว่าการศึกษาเป็นรากฐานของการพัฒนาทุนมนุษย์ ความเสมอภาคทางสังคม และความก้าวหน้าของชาติ พร้อมทั้งเชิญชวนทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการสร้างระบบการศึกษาที่ยั่งยืนและครอบคลุมทุกคน
วรรณกรรมปริทัศน์
สุนทรพจน์โดย ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ในการประชุมปรึกษาหารือระดับภูมิภาคของยูเนสโก (ชลบุรี, 2539) นำเสนอกรอบแนวคิดเชิงรากฐานของการปฏิรูปการศึกษาไทยภายใต้ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ โดยเฉพาะการขับเคลื่อนแนวคิด “การศึกษาเพื่อปวงชน” (Education for All) ฯพณฯ สุขวิช เน้นย้ำบทบาทสำคัญของการศึกษาในการขจัดความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม–เศรษฐกิจ และยกระดับทุนมนุษย์ ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางของการประชุม World Conference on Education for All (1990) ในระดับนานาชาติ
ท่านได้นำเสนอ ยุทธศาสตร์สามระยะ ได้แก่
ระยะสั้น – ส่งเสริมการรู้หนังสือ
ระยะกลาง – ขยายการศึกษาภาคบังคับเป็น 9 ปี
ระยะยาว – จัดให้มีการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปีสำหรับประชาชนทุกคน รากฐานความสำเร็จของ มาตรา43 ในรัฐธรรมนูญ2540
พร้อมด้วยระบบการศึกษานอกระบบที่เข้มแข็ง แนวทางดังกล่าวคือ ที่มาของนโยบาย “การเรียนรู้ตลอดชีวิต” (Lifelong Learning) และยังมองการณ์ไกลด้วยการส่งเสริม ความรู้เท่าทันเทคโนโลยี เพื่อให้ประชาชนสามารถแข่งขันในยุคโลกาภิวัตน์ได้
ภายใต้ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์การศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน โดยเชื่อมโยงกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ การพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ และความเสมอภาคทางการศึกษาในทุกภูมิภาค วรรณกรรมด้านความเสมอภาคทางการศึกษาและการนำนโยบายไปปฏิบัติในประเทศกำลังพัฒนาสนับสนุนแนวทางนี้ โดยชี้ว่าการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการศึกษาช่วยลดความเหลื่อมล้ำและเสริมสร้างความเป็นเจ้าของร่วม (UNESCO, 1996; Tilak, 2002) นโยบายการศึกษาฟรีสำหรับเด็กยากจน 12 ปี รวมทั้งอนุบาล 3 ปี ควบคู่กับการขยายโอกาสทางการศึกษานอกระบบ สอดคล้องกับแนวคิดเรื่องความเท่าเทียมทางการศึกษาและการพัฒนาทักษะสมรรถนะในบริบทการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมเทคโนโลยีและอุตสาหกรรม
ยิ่งไปกว่านั้น สุนทรพจน์ของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ยังเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สำคัญต่อการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างนโยบายการศึกษาและการพัฒนาทุนมนุษย์ โดยให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ตลอดชีวิตและการพัฒนาทักษะที่ยืดหยุ่น ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีร่วมสมัยที่มองว่าการศึกษาไม่ใช่เพียงเครื่องมือทางเศรษฐกิจ แต่เป็นกลไกสร้างความเป็นธรรมทางสังคม ความเข้มแข็งของประชาธิปไตย และความมั่นคงของสังคม วรรณกรรมจำนวนมากจึงมองการอภิวัฒน์การศึกษาไทยในช่วงปี 2538–2540 เป็นกรณีศึกษาที่สำคัญระดับนานาชาติว่าด้วยการนำนโยบายการศึกษาสาธารณะไปสู่การปฏิบัติ ผ่านยุทธศาสตร์ผู้นำระดับชาติ การสอดประสานกับกรอบแนวนโยบายสากล และการมีส่วนร่วมของชุมชนในการสร้างความเสมอภาค คุณภาพ และความยั่งยืนทางการศึกษา
เอกสารอ้างอิง
UNESCO. (1996). Inaugural Address and Keynote Speech by His Excellency Mr. Sukavich Rangsitpol at the UNESCO Conference, Chonburi, Thailand, September 16–18. UNESCO Digital Library. pp. 53–56
Tilak, J.B.G. (2002). Education and Poverty. Journal of Human Development, 3(2), 191–207.
ระเบียบวิธีวิจัย (Methodology)
การศึกษาครั้งนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพโดยอาศัย การวิเคราะห์เนื้อหา (Qualitative Content Analysis) เพื่อศึกษาสุนทรพจน์ปาฐกถาพิเศษในการประชุมปรึกษาหารือระดับภูมิภาคของยูเนสโก (UNESCO Regional Consultation) ซึ่งจัดขึ้นที่จังหวัดชลบุรี ระหว่างวันที่ 16–18 กันยายน พ.ศ. 2539 โดย ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล
1. การคัดเลือกเอกสาร (Document Selection)
เอกสารหลักที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ สุนทรพจน์ฉบับเต็ม ของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ซึ่งสืบค้นจากคลังข้อมูลดิจิทัลของยูเนสโก (UNESCO Digital Library, 1996, หน้า 53–56) โดยเลือกเอกสารนี้เนื่องจากเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่สะท้อนวิสัยทัศน์ด้านการปฏิรูปการศึกษาไทย หรือ ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ (Sukavichinomics)
2. การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)
เนื้อหาของสุนทรพจน์ถูกถอดรหัสเชิงประเด็น (coding) เพื่อตรวจหาแนวคิดสำคัญ ดังนี้
สิทธิในการศึกษาและการเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียม
ยุทธศาสตร์ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวของการศึกษาในระบบ และการศึกษานอกระบบ
การรู้หนังสือและความรู้เท่าทันเทคโนโลยี
การปฏิรูปการศึกษา: โรงเรียน ครู หลักสูตร และระบบบริหาร
ความเสมอภาคทางสังคมและการลดความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองกับชนบท
แนวคิด “สังคมแห่งการเรียนรู้” และการเรียนรู้ตลอดชีวิต
3. การจัดหมวดหมู่เชิงประเด็น (Thematic Categorization)
ข้อมูลที่ได้จากการถอดรหัสถูกจัดกลุ่มภายใต้กรอบแนวคิดหลัก ได้แก่
การพัฒนาทุนมนุษย์และการลดความยากจน
บทบาทของการศึกษาในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
การปฏิรูปเชิงสถาบันและโครงสร้างการบริหาร
การเรียนรู้ตลอดชีวิตและกลไกสนับสนุนการศึกษานอกระบบ
4. การตีความเชิงบริบท (Interpretation)
การตีความเนื้อหาดำเนินการเชื่อมโยงกับบริบทเศรษฐกิจและสังคมไทยในทศวรรษ 2530–2540 กระแสโลกาภิวัตน์ การพัฒนาเทคโนโลยี และพันธกิจของรัฐไทยในการขยายโอกาสทางการศึกษาให้เข้าถึงกลุ่มพลเมืองผู้ด้อยโอกาส โดยให้ความสำคัญทั้ง
สารเชิงนโยบายที่ปรากฏชัดเจน (explicit) และ
สารเชิงอุดมการณ์หรือสังคมการเมืองที่แฝงอยู่ (implicit messages)
5. ข้อจำกัดของการวิจัย (Limitations)
เนื่องจากเป็นงานวิเคราะห์เชิงคุณภาพจากเอกสารเพียงชิ้นเดียว ผลการศึกษาอาจมีลักษณะ เชิงอรรถาธิบายและตีความ (interpretive nature) ดังนั้นจึงควรตรวจสอบและสนับสนุนข้อค้นพบด้วยเอกสารทุติยภูมิ (secondary sources) ที่เกี่ยวข้อง เช่น
งานวิชาการด้านการปฏิรูปการศึกษาไทย
โครงการการรู้หนังสือของรัฐ
นโยบายด้านการศึกษาภายใต้ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์
ระเบียบวิธีนี้ช่วยให้สามารถทำความเข้าใจวิสัยทัศน์ด้านการศึกษาของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ได้อย่างเป็นระบบ ทั้งในมิติของนโยบาย ความเสมอภาคทางการศึกษา และการพัฒนาทุนมนุษย์ในระดับประเทศ