ปี 1999 ถือเป็นช่วงที่เกมต่อสู้ของ Capcom กำลังอยู่ในยุครุ่งเรือง หลังจากสร้างความนิยมอย่างต่อเนื่องด้วยซีรีส์
Street Fighter ZERO และ
Vampire Savior พวกเขาก็หยิบการ์ตูนดังจาก
Weekly Shonen Jump อย่าง
JoJo’s Bizarre Adventure Part 3: Stardust Crusaders มาทำเป็นเกมต่อสู้ในอาร์เคด ด้วยเทคนิคกราฟิกที่ล้ำยุคบนบอร์ด
CP System III ที่ให้ภาพและแอนิเมชันละเอียดสุดในยุคนั้น
ภาคอาร์เคดได้รับเสียงชื่นชมจากทั้งแฟน JoJo และคอเกมต่อสู้ ด้วยระบบ “Stand” ที่ทำให้ตัวละครแต่ละคนมีสไตล์การต่อสู้แตกต่างกันอย่างชัดเจน แต่การพอร์ตมาลงเครื่องบ้านในเวลานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะ CP System III เป็นฮาร์ดแวร์ระดับสูงเกินกว่าที่คอนโซลทั่วไปจะรองรับได้เต็มที่
เมื่อ Capcom ตัดสินใจพัฒนาเวอร์ชัน
PlayStation จึงต้องมีการลดทอนบางอย่าง เช่น แอนิเมชันบางชุดถูกตัดออก เอฟเฟกต์ระยิบระยับของฉากซูเปอร์คอมโบถูกทำให้ง่ายลง และรายละเอียดกราฟิกลดลงจากต้นฉบับ แต่ทีมพัฒนาก็พยายามใส่เนื้อหาใหม่มาทดแทน
จุดขายของเวอร์ชัน PS1 คือโหมดออริจินอล
Super Story Mode ที่เล่าเรื่องราวการเดินทางของ Jotaro และพวกพ้องจากญี่ปุ่นสู่ไคโร เพื่อเผชิญหน้ากับ DIO โดยจำลองเนื้อเรื่องจากมังงะต้นฉบับมาผ่านฉากต่อสู้และอีเวนต์ต่าง ๆ ซึ่งถือว่าเป็นของใหม่ที่ไม่มีในอาร์เคด นอกจากนี้ยังรองรับมินิเกมสำหรับ
PocketStation อีกด้วย
ระบบต่อสู้ในเกมยังคงอิงจากภาคอาร์เคดภาคแรก ไม่ใช่
Mirai e no Isan (ภาคต่อในอาร์เคด) ตัวละครมีเพียงสองชุดสี ไม่มี Challenge Mode และคัตซีนระหว่างสเตจถูกตัดออก เหลือเพียงเสียงพากย์ในฉากเปิดและตอนจบเท่านั้น แม้จะดูเรียบง่ายกว่าเวอร์ชันตู้ แต่ก็ยังคงเอกลักษณ์ของซีรีส์ไว้ครบถ้วน
เมื่อวางจำหน่าย เกมได้รับเสียงตอบรับดีจากแฟนการ์ตูนและผู้เล่นที่อยากสัมผัส JoJo ในรูปแบบเกมต่อสู้ แม้ภาพจะด้อยกว่าอาร์เคด แต่เสน่ห์ของสไตล์กราฟิก การออกแบบท่าต่อสู้ และบรรยากาศที่ซื่อสัตย์ต่อมังงะก็ทำให้เวอร์ชันนี้ถูกจดจำมาจนทุกวันนี้
ในปี 2001 Capcom ได้นำเกมนี้กลับมาวางจำหน่ายอีกครั้งในชุดราคาประหยัด
Capkore เพื่อให้แฟน ๆ ที่พลาดโอกาสในตอนแรกได้สะสมไว้
กว่า 20 ปีผ่านไป
JoJo’s Bizarre Adventure เวอร์ชัน PS1 ยังคงเป็นหนึ่งในผลงานที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามของ Capcom ในยุคที่การพอร์ตเกมอาร์เคดสู่คอนโซลยังเต็มไปด้วยข้อจำกัด แต่ทีมงานก็ยังรักษา “จิตวิญญาณของ JoJo” เอาไว้ได้อย่างน่าชื่นชม
ครบรอบ 26 ปี JoJo’s Bizarre Adventure เวอร์ชัน PlayStation
ปี 1999 ถือเป็นช่วงที่เกมต่อสู้ของ Capcom กำลังอยู่ในยุครุ่งเรือง หลังจากสร้างความนิยมอย่างต่อเนื่องด้วยซีรีส์ Street Fighter ZERO และ Vampire Savior พวกเขาก็หยิบการ์ตูนดังจาก Weekly Shonen Jump อย่าง JoJo’s Bizarre Adventure Part 3: Stardust Crusaders มาทำเป็นเกมต่อสู้ในอาร์เคด ด้วยเทคนิคกราฟิกที่ล้ำยุคบนบอร์ด CP System III ที่ให้ภาพและแอนิเมชันละเอียดสุดในยุคนั้น
ภาคอาร์เคดได้รับเสียงชื่นชมจากทั้งแฟน JoJo และคอเกมต่อสู้ ด้วยระบบ “Stand” ที่ทำให้ตัวละครแต่ละคนมีสไตล์การต่อสู้แตกต่างกันอย่างชัดเจน แต่การพอร์ตมาลงเครื่องบ้านในเวลานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะ CP System III เป็นฮาร์ดแวร์ระดับสูงเกินกว่าที่คอนโซลทั่วไปจะรองรับได้เต็มที่
เมื่อ Capcom ตัดสินใจพัฒนาเวอร์ชัน PlayStation จึงต้องมีการลดทอนบางอย่าง เช่น แอนิเมชันบางชุดถูกตัดออก เอฟเฟกต์ระยิบระยับของฉากซูเปอร์คอมโบถูกทำให้ง่ายลง และรายละเอียดกราฟิกลดลงจากต้นฉบับ แต่ทีมพัฒนาก็พยายามใส่เนื้อหาใหม่มาทดแทน
จุดขายของเวอร์ชัน PS1 คือโหมดออริจินอล Super Story Mode ที่เล่าเรื่องราวการเดินทางของ Jotaro และพวกพ้องจากญี่ปุ่นสู่ไคโร เพื่อเผชิญหน้ากับ DIO โดยจำลองเนื้อเรื่องจากมังงะต้นฉบับมาผ่านฉากต่อสู้และอีเวนต์ต่าง ๆ ซึ่งถือว่าเป็นของใหม่ที่ไม่มีในอาร์เคด นอกจากนี้ยังรองรับมินิเกมสำหรับ PocketStation อีกด้วย
ระบบต่อสู้ในเกมยังคงอิงจากภาคอาร์เคดภาคแรก ไม่ใช่ Mirai e no Isan (ภาคต่อในอาร์เคด) ตัวละครมีเพียงสองชุดสี ไม่มี Challenge Mode และคัตซีนระหว่างสเตจถูกตัดออก เหลือเพียงเสียงพากย์ในฉากเปิดและตอนจบเท่านั้น แม้จะดูเรียบง่ายกว่าเวอร์ชันตู้ แต่ก็ยังคงเอกลักษณ์ของซีรีส์ไว้ครบถ้วน
เมื่อวางจำหน่าย เกมได้รับเสียงตอบรับดีจากแฟนการ์ตูนและผู้เล่นที่อยากสัมผัส JoJo ในรูปแบบเกมต่อสู้ แม้ภาพจะด้อยกว่าอาร์เคด แต่เสน่ห์ของสไตล์กราฟิก การออกแบบท่าต่อสู้ และบรรยากาศที่ซื่อสัตย์ต่อมังงะก็ทำให้เวอร์ชันนี้ถูกจดจำมาจนทุกวันนี้
ในปี 2001 Capcom ได้นำเกมนี้กลับมาวางจำหน่ายอีกครั้งในชุดราคาประหยัด Capkore เพื่อให้แฟน ๆ ที่พลาดโอกาสในตอนแรกได้สะสมไว้
กว่า 20 ปีผ่านไป JoJo’s Bizarre Adventure เวอร์ชัน PS1 ยังคงเป็นหนึ่งในผลงานที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามของ Capcom ในยุคที่การพอร์ตเกมอาร์เคดสู่คอนโซลยังเต็มไปด้วยข้อจำกัด แต่ทีมงานก็ยังรักษา “จิตวิญญาณของ JoJo” เอาไว้ได้อย่างน่าชื่นชม