อวสานร้านอาหาร! คนทำทยอยเซ้ง คนเจ๊งทยอยขาย
.
“เกลียดใคร แนะนำให้เค้าไปเปิดร้านอาหาร” เป็นวาทกรรมที่บ่งบอกถึงสถานการณ์ของร้านอาหารในปี 2568 ได้อย่างชัดเจน จากธุรกิจที่ เคยเป็นเส้นเลือดฝอยของเศรษฐกิจ SMEs กลับกลายเป็น "สนามรบ"
.
ที่ผู้ประกอบการต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด ท่ามกลางยอดขายที่ดิ่งเหว การปิดกิจการที่พุ่งสูง และต้นทุนที่พุ่งปรี๊ด "ผู้เล่นเยอะ ผู้รอดน้อย" กลายเป็นเรื่องจริงที่ต้องยอมรับ
- “ตัวเลขทางเศรษฐกิจ” สะท้อนปัญหา “ร้านอาหาร” ชัดเจน
.
ในปี 2568 คาดว่ามีร้านอาหารและเครื่องดื่มทั่วประเทศกว่า 700,000 แห่ง ซึ่งยังไม่นับรวมร้านอาหารประเภทอื่นๆ ที่เป็นร้านข้างทาง , รถเข็นไม่มีหน้าร้าน, ร้านฟู้ดทรัค และร้านรูปแบบ Ghost Kitchen
.
ถ้าดูข้อมูลตลาดร้านอาหารพบว่ามีมูลค่าประมาณ 646,000 ล้านบาท เติบโตเพียง 2.8% จากปี 2567 ต่ำกว่าคาดการณ์เดิมที่ 4.6% หรือมูลค่าประมาณ 657,000 ล้านบาท
.
และข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้ายังระบุชัดว่า มีธุรกิจร้านอาหารที่จดทะเบียนเลิกกิจการในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 (มกราคม-มิถุนายน) จำนวน 6,244 ราย ในจำนวนนี้เป็น ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 276 ราย
.
ส่งผลให้ธุรกิจร้านอาหารกลายเป็นธุรกิจที่มีสถิติการปิดกิจการติดอันดับ 1 ใน 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่เลิกกิจการมากที่สุด
.
ดูตัวเลขด้านยอดขายก็ยิ่งช้ำหนักเพราะ ปี 2568 เป็นปีที่ "ทรุดต่ำสุดรอบ 3 ปี" ในภาพรวมรายได้ ยอดขายเฉลี่ยลดลง 14% จากปีก่อน โดยร้านอาหารไทยบางแห่งรายได้ต่อเดือนลดจาก 50,000 บาทเหลือ 20,000 บาท และอัตราการปิดกิจการภายใน 1 ปีสูงถึง 50%
.
อัตราการอยู่รอดโดยเฉลี่ยเพียง 7-8 เดือนเท่านั้น มีเพียง 20% ที่อยู่รอดระยะยาวได้ เสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการร้านอาหารส่วนใหญ่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าแค่ประคองตัวให้รอดมีเงินจ่ายพนักงานก็แทบแย่สมัยนี้แค่อร่อยอย่างเดียวไม่พอ สายป่านต้องยาวด้วย เพราะต้องสู้ทั้งปัจจัยภายใน และปัจจัยภายนอก
.
- ยุคทองของร้านอาหารไทยอยู่ในช่วง ปี 2558-2562
.
ย้อนกลับไปในช่วงปี 2558-2562 ถือเป็นยุคทองของร้านอาหารอย่างแท้จริง ในช่วงเวลานั้นมีตัวเลขที่สะท้อนถึงการเติบโตได้อย่างชัดเจน
.
- มูลค่าตลาดร้านอาหารและเครื่องดื่มเติบโตเฉลี่ย 4-5% ต่อปี จาก 360,000 ล้านบาทในปี 2558 สู่ 400,000-450,000 ล้านบาทในปี 2562
- นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น จาก 29.9 ล้านคนในปี 2558 เป็น 39.8 ล้านคนในปี 2562
- จำนวนผู้ประกอบการเพิ่มจาก 300,000 รายในปี 2558 เพิ่มเป็นกว่า 400,000 รายในปี 2562
- อัตราการปิดกิจการภายใน 1 ปีเพียงแค่ 20-30% เท่านั้น
- ร้านอาหารสามารถคืนทุนได้ภายใน 6-12 เดือน โดยเฉพาะร้านในย่านท่องเที่ยว เช่น เยาวราช หรือถนนข้าวสาร
- ต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้นเพียง 2-3% ต่อปี รวมถึงค่าแรงขั้นต่ำอยู่ในระดับที่ผู้ประกอบการ SMEs จัดการได้ (300-330 บาทต่อวัน)
- คนไทยนิยมกินนอกบ้าน โดย 60% ของครัวเรือนในเมืองรับประทานอาหารนอกบ้าน 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์
.
* วิกฤติร้านอาหาร 2568 “ตัวเลข” สวนทวงกับ “ยุคทอง” มีแต่ปัจจัยลบรอบด้าน
.
จากปัจจัยเสริมในยุคทองของร้านอาหารเหล่านี้ไม่น่าเชื่อว่าในปี 2568 ปัจจัยเหล่านี้ได้กลายมาเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ร้านอาหารรอดน้อย ทยอยเจ๊งกันถ้วนหน้า
.
- ราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 18-25% โดยเฉพาะวัตถุดิบนำเข้า. คิดเป็นสัดส่วนต้นทุน 30-40% ของร้านอาหาร
- ค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับขึ้นเป็น 400-470 บาท/วัน ในบางพื้นที่ เพิ่มต้นทุนราว 5%
- ค่าไฟฟ้าและน้ำเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 12-15%
- การแข่งขันสูง โดยร้านอาหารเปิดใหม่กว่า 60% ปิดตัวภายใน 3 ปีแรก
- คนไทยลดการกินนอกบ้านลง 20% หันไปทำอาหารเองหรือเลือกอาหารราคาถูก
- ราคาค่าเช่าพื้นที่เพิ่มสูง ยิ่งทำเลดี ราคายิ่งแพง บางแห่งค่าเช่าร้านมากกว่า 30-40% ของยอดขาย ทำไปก็ไม่มีกำไร
- เดลิเวอรี่กลายเป็นเส้นแห่งชีวิต คิดเป็น 30-40% ของยอดขาย แต่ค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์มกินกำไร ทำให้ร้านต้องหาทางลดต้นทุนอื่น
.
ถ้าเทียบกับยุคทองที่เดลิเวอรี่ยังไม่แพร่หลาย คิดเป็น 5-10% ของยอดขายโดยร้านอาหารพึ่งพาลูกค้า walk-in และนักท่องเที่ยวเป็นหลัก
.
ผสมผสานกับค่าครองชีพคนไทยที่เพิ่มสูงมากใช้จ่ายใดๆก็ต้องระวัง แม้แต่กลุ่มลูกค้าระดับกลางค่อนบนที่เคยมีกำลังซื้อมากในตอนนี้ก็จับจ่ายน้อยลง ยอดบิลต่อหัว (Spending Per Head) มีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ
.
พฤติกรรมผู้บริโภคก็เริ่มเปลี่ยนแปลงมองถึงความคุ้มค่ามากขึ้น ซึ่งไม่ได้หมายถึงราคาถูก แต่ต้องได้รับการบริการที่ดี ร้านต้องสะอาด และรสชาติต้องอร่อย การแข่งขันในธุรกิจร้านอาหารจึงมากเป็นพิเศษ
.
* ปี 68 เศรษฐกิจทรุด ร้านอาหารปิดตัวถาวรเพียบ!
.
เหตุผลที่ทำให้ร้านอาหารไปไม่รอดคือ “ยอดขาย” ที่ตกฮวบฮาบลดลงกว่า 40-50% บางร้านยอดตกมากกว่า 60% ก็เป็นผลพวงจากปัจจัยด้านลบต่างๆ ที่แตกต่างจากยุคทองของร้านอาหาร
.
ซึ่งถ้าติดตามข่าวสารก็จะพบว่ามีร้านดังปิดสาขาหรือกิจการทั้งหมดมากกว่า 14 แห่งในช่วงครึ่งปีแรก เช่น เฮงหอยทอดชาวเล ประกาศปิดสาขาไอคอนสยาม, ร้านคาโกโนะยะ ประกาศปิด 2 สาขา , และไอศกรีมทิพย์รส ประกาศปิดสาขาเดอะมอลล์ งามวงศ์วาน และยังมีอีกหลายร้านที่ปิดกิจการอย่างถาวร ยกตัวอย่างคือ
.
- ร้านอาหารริมผา ลาภิณ ประกาศปิดกิจการเมื่อวันที่ 28 เมษายน
- แพนด้า สุกี้ เรสเทอรอง ประกาศปิดกิจการเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน
- รสนิยมนมสด มาม่าหม้อไฟคลองหก ประกาศปิดกิจการเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม
- ข้าวมันไก่เจ๊โบว์ ร้านดังย่านบรรทัดทองที่ประกาศปิดสาขาหลังดำเนินกิจการมานานกว่า 25 ปี
- ครัวคุณต้อ ร้านอาหารปักษ์ชื่อดัง ประกาศปิดกิจการถาวร
- TSUJIRI ร้านชาเขียวต้นตำรับจากญี่ปุ่น ประกาศปิดทุกสาขาในไทย
- อาม่งหม่าล่า ปิดสาขาเยาวราช เพราะสู้ค่าเช่าไม่ไหว
.
แต่ก็มีข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า ร้านอาหารที่เปิดในห้าง จะมีโอกาสรอดมากกว่าร้านอาหาร นอกห้าง ถึง 22% และถึงแม้ยอดขายหน้าร้านภาพรวมอาจลดลงกว่า 14% เมื่อเทียบกับปีก่อน
.
แต่ก็สวนทางกับยอดขายจากเดลิเวอรี่ที่เพิ่มขึ้น 15% สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นภาพชัดเจนว่า “การปรับกลยุทธ์” ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภค อาจเป็นตัวช่วยให้ร้านอาหารอยู่รอดได้มากขึ้น
.
* ร้านอาหารใน “ตึกพาณิชย์” 50% ปิดตัวภายในปีแรก
.
เมื่อก่อนร้านอาหารในตึกพาณิชย์มีให้เห็นเยอะ เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ถึงกับจะอวสานแต่ก็ยอมรับว่าหายไปมาก ในบางพื้นที่ ติดป้ายให้เช่า / เซ้งร้าน แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการแบกรับต้นทุนไม่ไหว ไปต่อไม่ได้
.
ดูตัวเลขแล้วยิ่งตกใจพบว่าร้านอาหารตึกแถวในไทยมีจำนวนมากกว่า 300,000 ราย คิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ประกอบการร้านอาหารทั้งหมดกว่า 700,000 ราย
.
โดยส่วนใหญ่เป็น SMEs ที่เน้นอาหารไทยพื้นบ้าน ข้าวแกง อาหารตามสั่ง ก๋วยเตี๋ยว หรือเมนูราคาย่อมเยา ราคา 50-150 บาทต่อจาน
.
อัตราการอยู่รอดของร้านอาหารตึกแถวในปี 2568 อยู่ที่ประมาณ 40-50% หรือปิดตัว 50-60% ภายในปีแรก เนื่องจากขาดฐานลูกค้าที่มั่นคงและการพึ่งพา traffic ธรรมชาติเป็นหลัก
.
ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุว่าร้านอาหารในตึกพาณิชย์ครึ่งปีแรก ตั้งแต่ มกราคม - มิถุนายน ปิดกิจการ 276 ราย เพิ่ม 3.39% จากปีก่อน และร้านตึกแถวเหล่านี้บางทีก็ไม่ได้จดทะเบียนเลิกอย่างเป็นทางการทำให้ตัวเลขจริงอาจสูงกว่าที่เก็บรวบรวมได้
.
เหตุผลของการปิดตัวร้านอาหารในตึกแถวเหล่านี้หลักๆ คือรายได้เฉลี่ยที่ลดลงรุนแรง 40-50% จากปีก่อน บางร้านจากเดิม 30,000-50,000 บาทต่อวัน เหลือเพียง 15,000-25,000 บาท ยังไม่ได้หักต้นทุนในส่วนอื่นกำไรสุทธิที่แท้จริงเหลือไม่ถึง 10% พอคิดจะหันไปใช้บริการเดลิเวอรี่เพื่อเพิ่มยอดขายก็ต้องกดดันกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นกว่า 30%
.
บางร้านจึงต้องลดเมนูลง ปรับเปลี่ยนเมนูใหม่ บริหารวัตถุดิบใหม่ ขายอาหารในราคาประหยัดเพื่อรักษากระแสเงินสดเอาไว้ ใครที่พอจะประคับประคองก็อยู่รอดต่อไป ใครทนไม่ไหวก็ต้องปิดตัวเลิกกิจการในที่สุด
.
* วิกฤติกบต้มอาจจะรุนแรงและยืดเยื้ออีก 2-3 ปี
.
สภาพของธุรกิจร้านอาหารในทุกวันนี้เปรียบได้กับ “กบต้ม” ซึ่งเป็นแนวคิดที่เปรียบเทียบสถานการณ์ที่บุคคลหรือองค์กรค่อยๆ เผชิญปัญหาหรือความท้าทายที่รุนแรงขึ้นอย่างช้าๆ โดยไม่ตระหนักถึงอันตรายจนสายเกินไป
.
คล้ายกับกบที่ถูกใส่ในหม้อน้ำเย็นและค่อยๆ ถูกต้มโดยเพิ่มอุณหภูมิทีละน้อย จนมันไม่รู้ตัวว่ากำลังจะตาย ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าวิกฤตินี้อาจยืดเยื้อ 3 ปี
.
หากเศรษฐกิจไม่ฟื้นและต้นทุนไม่ลดลง ร้านอาหารจะเข้าสู่ "reset phase" ที่ผู้รอดคือผู้ที่มี cash flow แข็งแกร่ง เช่น ร้าน street food หรือ QSR ที่ราคาย่อมเยา ถ้าวิเคราะห์ลึกลงไปในรายละเอียดลักษณะของวิกฤติกบต้มในร้านอาหารคือ
.
(1) ปัญหาค่อยๆ สะสม: ต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้น 25% ค่าเช่าสูงขึ้น 10-20% และยอดขายลดลง 14-60% แต่ผู้ประกอบการหลายรายยังคงดำเนินธุรกิจแบบเดิมโดยหวังว่าเศรษฐกิจจะฟื้น
.
(2) การปรับตัวช้า: ธุรกิจร้านอาหารบางส่วนขาดเครื่องมือหรือเงินทุนในการปรับตัว เช่น ไม่สามารถลงทุนในเทคโนโลยีหรือปรับเปลี่ยนตัวเองให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้
.
(3) ไม่ตระหนักถึงความรุนแรง: ผู้ประกอบการบางรายมองว่าการลดลงของลูกค้า เช่น จาก 500-600 คนต่อวันเหลือ 200-300 คน เป็นเรื่องปกติตามฤดูกาล โดยไม่เห็นถึงแนวโน้มระยะยาว เช่น การเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันไปทำอาหารกินเองหรือเลือกอาหารราคาถูก
.
ด้วยลักษณะแบบนี้จึงเรียกว่าเป็นวิกฤติกบต้มเมื่อถึงจุดอิ่มตัวคือกำไรติดลบต่อเนื่องและเงินทุนหมุนเวียนหมด ร้านอาหารจำนวนมากจึงต้องปิดตัวลงไป
.
ที่มา : ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ Thailand's Franchising Solution & Media
อวสานร้านอาหาร! คนทำทยอยเซ้ง คนเจ๊งทยอยขาย