ทำทุกวัน! 3 พฤติกรรมเสี่ยงที่เผลอทำซ้ำ ๆ คือประตูสู่ “มะเร็งกระเพาะอาหาร”
เชื่อหรือไม่? "กินร้อน ช้อนเรา" คือกุญแจสำคัญที่คุณมองข้าม! “หมอเจด”ชี้แบคทีเรียร้ายซ่อนตัวในท้องนานนับสิบปี เปลี่ยนอาการท้องอืดธรรมดาเป็นมะเร็ง! ถ้าปวดท้องบ่อย ๆ แล้วกินยาเอง...คุณกำลังเร่งวันตายหรือไม่? คำตอบที่คุณต้องรู้ อยู่ที่นี่!
เมื่อวันที่ 8 ต.ค. นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา” ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเพจ “หมอเจด” เตือนภัยสุขภาพที่หลายคนมองข้าม โดยเน้นย้ำว่าอาการ “ปวดท้องบ่อย” หรืออาการคล้ายโรคกระเพาะที่รักษาไม่หาย อาจเป็นสัญญาณของ เชื้อแบคทีเรีย เอช.ไพโลไร (H. pylori) ซึ่งเป็นภัยเงียบที่กัดกินเยื่อบุกระเพาะอาหารและอาจพัฒนาไปสู่ มะเร็งกระเพาะอาหาร ได้ในที่สุด หากปล่อยปละละเลยนานนับสิบปี
H. pylori: แบคทีเรียร้ายที่ทนทานในกรด
นพ.เจษฎ์ อธิบายถึงความน่ากลัวของเชื้อ H. pylori ว่าเป็นแบคทีเรียที่มีความพิเศษคือสามารถอยู่รอดได้แม้ในสภาวะที่มีกรดสูงในกระเพาะอาหาร โดยเชื้อจะเข้าไปฝังตัวและค่อย ๆ กัดกร่อนผนังกระเพาะ ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังอย่างเงียบ ๆ
ในช่วงแรก ผู้ติดเชื้อมักไม่มีอาการที่รุนแรง อาจมีเพียงอาการ แน่นท้อง ท้องอืด หรืออาหารไม่ย่อย ซึ่งทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าเป็นเพียงโรคกระเพาะธรรมดา ทั้งที่ความจริงแล้วเยื่อบุกระเพาะกำลังถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง
ติดต่อง่ายในชีวิตประจำวัน
สิ่งที่น่าตกใจคือ เชื้อ H. pylori มีช่องทางการติดต่อที่ง่ายดายกว่าที่คิด โดยเฉพาะในครอบครัวและผู้ที่ใช้ชีวิตใกล้ชิดกัน ได้แก่:
การใช้ ช้อนหรือหลอดร่วมกัน กับผู้ที่มีเชื้อ
การรับประทาน อาหารไม่สุก หรือดื่ม น้ำที่ไม่สะอาด
การละเลย การล้างมือก่อนรับประทานอาหาร หรือหลังเข้าห้องน้ำ
แพทย์จึงเน้นย้ำว่า หลักการ “กินร้อน ช้อนเรา” ไม่ใช่แค่สโลแกน แต่เป็นหลักปฏิบัติที่สำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันการติดเชื้อนี้
วงจรเชื้อโรค สู่ มะเร็งกระเพาะอาหาร
นพ.เจษฎ์ เผยให้เห็นลำดับการพัฒนาของโรคที่ใช้เวลาหลายสิบปี โดยเริ่มต้นจาก:
ติดเชื้อและอักเสบ: เชื้อเข้าสู่ร่างกาย กระเพาะจะอักเสบอย่างช้า ๆ เป็นปี
เกิดแผลในกระเพาะ: ในผู้ป่วยบางราย (ประมาณ 10–15%) จะเกิดแผลเรื้อรัง มักมีอาการปวดท้องเวลาท้องว่างหรือตอนดึก
กลายพันธุ์เป็นมะเร็ง: หากการอักเสบดำเนินไปยาวนานกว่า 20–30 ปี เซลล์ที่ถูกทำลายต่อเนื่องจะเกิดการเปลี่ยนแปลงและสามารถ พัฒนาไปเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร ได้ในที่สุด
ป้องกันได้…หากรีบตรวจและรักษา
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญย้ำว่า มะเร็งกระเพาะอาหารส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากพันธุกรรม แต่มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อเล็ก ๆ ที่ถูกละเลยมานาน ดังนั้น การตรวจหาเชื้อและรักษาให้หายขาดด้วยยาปฏิชีวนะให้เร็วที่สุด จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันโรค
ข้อแนะนำในการดูแลสุขภาพกระเพาะอาหาร:
ทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ และหลีกเลี่ยงอาหารดิบหรือน้ำไม่สะอาด
ใช้ช้อนกลางทุกครั้งเมื่อรับประทานอาหารร่วมกัน
ล้างมือให้สะอาด โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ
หากมีอาการปวดท้องเรื้อรัง แน่นท้อง คลื่นไส้ หรือ ถ่ายดำ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาเชื้อ H. pylori
นพ.เจษฎ์ ทิ้งท้ายว่า “อย่ารอให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ ตรวจไว้ก่อน ดีกว่ามารักษาเมื่อสาย” สุขภาพของกระเพาะอาหารจึงขึ้นอยู่กับความสะอาดและการใส่ใจสังเกตความผิดปกติของร่างกาย เพื่อป้องกันและรักษาโรคร้ายที่อาจซ่อนอยู่ให้ทันท่วงที
สามารถติดตามต่อได้ที่ :
https://www.dailynews.co.th/news/5183770/
ทำทุกวัน! 3 พฤติกรรมเสี่ยงที่เผลอทำซ้ำ ๆ คือประตูสู่ “มะเร็งกระเพาะอาหาร”
เชื่อหรือไม่? "กินร้อน ช้อนเรา" คือกุญแจสำคัญที่คุณมองข้าม! “หมอเจด”ชี้แบคทีเรียร้ายซ่อนตัวในท้องนานนับสิบปี เปลี่ยนอาการท้องอืดธรรมดาเป็นมะเร็ง! ถ้าปวดท้องบ่อย ๆ แล้วกินยาเอง...คุณกำลังเร่งวันตายหรือไม่? คำตอบที่คุณต้องรู้ อยู่ที่นี่!
เมื่อวันที่ 8 ต.ค. นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา” ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเพจ “หมอเจด” เตือนภัยสุขภาพที่หลายคนมองข้าม โดยเน้นย้ำว่าอาการ “ปวดท้องบ่อย” หรืออาการคล้ายโรคกระเพาะที่รักษาไม่หาย อาจเป็นสัญญาณของ เชื้อแบคทีเรีย เอช.ไพโลไร (H. pylori) ซึ่งเป็นภัยเงียบที่กัดกินเยื่อบุกระเพาะอาหารและอาจพัฒนาไปสู่ มะเร็งกระเพาะอาหาร ได้ในที่สุด หากปล่อยปละละเลยนานนับสิบปี
H. pylori: แบคทีเรียร้ายที่ทนทานในกรด
นพ.เจษฎ์ อธิบายถึงความน่ากลัวของเชื้อ H. pylori ว่าเป็นแบคทีเรียที่มีความพิเศษคือสามารถอยู่รอดได้แม้ในสภาวะที่มีกรดสูงในกระเพาะอาหาร โดยเชื้อจะเข้าไปฝังตัวและค่อย ๆ กัดกร่อนผนังกระเพาะ ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังอย่างเงียบ ๆ
ในช่วงแรก ผู้ติดเชื้อมักไม่มีอาการที่รุนแรง อาจมีเพียงอาการ แน่นท้อง ท้องอืด หรืออาหารไม่ย่อย ซึ่งทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าเป็นเพียงโรคกระเพาะธรรมดา ทั้งที่ความจริงแล้วเยื่อบุกระเพาะกำลังถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง
ติดต่อง่ายในชีวิตประจำวัน
สิ่งที่น่าตกใจคือ เชื้อ H. pylori มีช่องทางการติดต่อที่ง่ายดายกว่าที่คิด โดยเฉพาะในครอบครัวและผู้ที่ใช้ชีวิตใกล้ชิดกัน ได้แก่:
การใช้ ช้อนหรือหลอดร่วมกัน กับผู้ที่มีเชื้อ
การรับประทาน อาหารไม่สุก หรือดื่ม น้ำที่ไม่สะอาด
การละเลย การล้างมือก่อนรับประทานอาหาร หรือหลังเข้าห้องน้ำ
แพทย์จึงเน้นย้ำว่า หลักการ “กินร้อน ช้อนเรา” ไม่ใช่แค่สโลแกน แต่เป็นหลักปฏิบัติที่สำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันการติดเชื้อนี้
วงจรเชื้อโรค สู่ มะเร็งกระเพาะอาหาร
นพ.เจษฎ์ เผยให้เห็นลำดับการพัฒนาของโรคที่ใช้เวลาหลายสิบปี โดยเริ่มต้นจาก:
ติดเชื้อและอักเสบ: เชื้อเข้าสู่ร่างกาย กระเพาะจะอักเสบอย่างช้า ๆ เป็นปี
เกิดแผลในกระเพาะ: ในผู้ป่วยบางราย (ประมาณ 10–15%) จะเกิดแผลเรื้อรัง มักมีอาการปวดท้องเวลาท้องว่างหรือตอนดึก
กลายพันธุ์เป็นมะเร็ง: หากการอักเสบดำเนินไปยาวนานกว่า 20–30 ปี เซลล์ที่ถูกทำลายต่อเนื่องจะเกิดการเปลี่ยนแปลงและสามารถ พัฒนาไปเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร ได้ในที่สุด
ป้องกันได้…หากรีบตรวจและรักษา
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญย้ำว่า มะเร็งกระเพาะอาหารส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากพันธุกรรม แต่มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อเล็ก ๆ ที่ถูกละเลยมานาน ดังนั้น การตรวจหาเชื้อและรักษาให้หายขาดด้วยยาปฏิชีวนะให้เร็วที่สุด จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันโรค
ข้อแนะนำในการดูแลสุขภาพกระเพาะอาหาร:
ทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ และหลีกเลี่ยงอาหารดิบหรือน้ำไม่สะอาด
ใช้ช้อนกลางทุกครั้งเมื่อรับประทานอาหารร่วมกัน
ล้างมือให้สะอาด โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ
หากมีอาการปวดท้องเรื้อรัง แน่นท้อง คลื่นไส้ หรือ ถ่ายดำ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาเชื้อ H. pylori
นพ.เจษฎ์ ทิ้งท้ายว่า “อย่ารอให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ ตรวจไว้ก่อน ดีกว่ามารักษาเมื่อสาย” สุขภาพของกระเพาะอาหารจึงขึ้นอยู่กับความสะอาดและการใส่ใจสังเกตความผิดปกติของร่างกาย เพื่อป้องกันและรักษาโรคร้ายที่อาจซ่อนอยู่ให้ทันท่วงที
สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/5183770/