ไข่เจียวปู ไอโฟนรุ่นใหม่ นาฬิกาหรู รถสปอร์ตคันสวย และของใช้อีกหลายอย่างที่มักถูกสังคมตอกกลับว่า แพงเกินจริง แพงเกินความจำเป็น และ ไม่คุ้มค่ากับราคาที่ตั้งมา
"ความจำเป็น" ของแต่ละคน เหมือนกันหรือเปล่า
"ความคุ้มค่า"ของแต่ละคน เท่ากันมั้ย
"มีเงินเท่านั้น ก็ไม่ซื้อหรอกของแบบนั้นน่ะ" นี่คือประโยคที่มักได้ยินจากคนหลายคนที่พูดถึงการจับจ่ายของคนอื่น
แต่ คำพูดเช่นนี้ใช้เปรียบเทียบโดยตรงได้หรือปล่า?
ถ้ามีเงิน 30 ล้าน คุณจะซื้อรถสปอร์ตไว้ขับติดบนถนนกรุงเทพมั้ย?
หลายคนคงมีคำตอบในใจ ซึ่งแน่นอนว่าประโยคหนึ่งที่ได้ยินเสมอคือ "ถ้ามีเงินเท่านี้ ซื้อ XXX ดีกว่า" คือ มองว่าเงินก้อนนั้น มีอย่างอื่นที่น่าซื้อมากกว่า
ถ้ามีเงิน 45 ล้าน คุณจะซื้อเพนท์เฮาส์หรูริมโค้งคุ้งน้ำใจกลางกรุงเทพมั้ย
ถ้ามีเงิน 5 ล้านคุณจะส่งลูกเรียนไฮสคูลต่างประเทศมั้ย
ถ้ามีเงิน 3 ล้าน คุณจะซื้อนาฬิกาข้อมือเรือนนึงหรือเปล่า
ถ้ามีเงิน 1 ล้าน คุณจะซื้อมอเตอร์ไซค์ไว้ขี่เล่นๆวันหยุดซักคันมั้ย
ถ้ามีเงิน 5 แสน คุณจะซื้อจักรยานไว้ออกกำลังกายซักคันมั้ย
ถ้ามีเงิน 3 แสน คุณจะไปพักตากอากาศ 3 วัน 2 คืน รีสอร์ทหรูบินชั้นหนึ่งที่ภูเก็ต ที่เดียวกับนักบอลระดับโลกมานอนมั้ย
ถ้ามีเงิน 1 แสน คุณจะซื้อทีวีเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดมาดูหนังที่บ้านมั้ย
ถ้ามี 7 หมื่น คุณจะซื้อไอโฟนรุ่นใหม่มาใช้งานหรือเปล่า
ถ้ามี 4 หมื่น คุณจะจองเชฟมาทำอาหารในงานเลี้ยงส่วนตัวเล็กๆที่บ้านมั้ย
ถ้ามี 2 หมื่น คุณจะซื้อรองเท้ากีฬารุ่นพิเศษที่ระลึกของยี่ห้อนั้นมาใส่วิ่งมั้ย
ถ้ามี 8 พัน คุณจะจ้างพริตตี้มาเอนเตอร์เทนฟิลแฟนค้างคืนยันเช้ากับคุณมั้ย
ถ้ามี 3 พัน คุณจะจองร้านตัดผมเพื่อสระซอยก่อนไปงานแต่งงานหรือเปล่า
ถ้ามี 1 พันคุณจะดูหนังโรงพิเศษระบบล้ำยุคพร้อมชุดป็อปคอร์นมั้ย
ถ้ามี 6 ร้อย คุณจะซื้อเบียร์ที่คราฟท์มาดีๆสักขวดนั่งจิบไปกับอาหารรึเปล่า
ถ้ามี 2 ร้อย คุณจะชิมเค้กฝีมือเชฟขนมหวานที่เปิดร้านในย่านธุรกิจกลางกรุงขนาด 4 คำหมดมั้ย
ถ้ามี 80 คุณจะซื้อเนื้อวากิวนำเข้าเสียบไม้ย่างคิออสในห้างกินมั้ย
ถ้ามี 40 คุณจะซื้อน้ำแร่ขวดเล็ฏดื่มดับกระหายหรือเปล่า
ผมว่าคำตอบพวกนี้ ไม่ต้องการใครมาตอบทีละข้อหรอกครับ แต่มันสะท้อนความจริงในดลกนี้ว่า การใช้เงิน ของใคร ของมัน ตราบที่ผู้ใช้ไม่ได้ทะยานอยากเกินกำลัง จนต้องสร้างหนี้ ก่อสินที่ไร้ความสามารถจัดการได้
เช่นนั้น ทำไม เราจึงต้องไป ประเมิน ผู้อื่น ที่ใช้เงินกับสิ่งที่ไม่ตรงใจของเรา ทำไมเราจึงต้องเอาตัวเราไปเป็นตาชั่งว่าเขาจับจ่ายได้อย่างมีคุณค่า คุ้มค่าแค่ไหน และ หเนือกว่าคำว่า"ทำไม"
"ควรหรือไม่" ที่เราจะตีตรา คนที่ใช้เงินแบบใดๆว่า ไม่แลาด โดนหลอก ติดกับดัก หรือ ประเมินพวกเขาว่า"โง่" และ เป็นตัวเราที่"ฉลาด" กว่า ที่ตระหนักรู้ถึงความคุ้มค่าในการจับจ่าย และไม่จ่ายสิ่งต่างๆลงไปโดย"ไม่จำเป็น"
หรือเพราะเรา มักนิยม ยกค่าตนเองว่า ฉลาด สมเหตุผล ในการเลือกซื้อสิ่งต่างๆมาอย่างมีปัญญา คิดไตร่ตรองอย่างดิบดีแล้ว
ใครที่ใช้จ่ายและไตร่ตรองไม่ตรงกับเรา ก็ไม่ควรมีปัญญาเทียบเรา ในทางกลับกัน หากเราต้องยอมรับว่าเรา"ไม่มีกำลัง" มันก็เจ็บกว่าที่จะหาเหตุผลเพื่อสนับสนุนความมีปัญญาของเราหรือไม่
ซึ่งเมื่อมองในอีกมุมหนึ่ง มันคือนิทาน"องุ่นเปรี้ยว" ที่จิ้งจอกน้อย ตีค่าองุ่นที่สูงเกินเอื้อมว่าเปรี้ยวและไม่อร่อย ใครที่พยายามสนใจจะกินมัน คือพวกที่ไร้สมอง ตน ที่เลือกเดินผ่านไป แลาดและมากด้วยปัญญามากกว่า
ทำไม คนเราชอบคิดว่าคนซื้อของแพงๆ "โง่"
"ความจำเป็น" ของแต่ละคน เหมือนกันหรือเปล่า
"ความคุ้มค่า"ของแต่ละคน เท่ากันมั้ย
"มีเงินเท่านั้น ก็ไม่ซื้อหรอกของแบบนั้นน่ะ" นี่คือประโยคที่มักได้ยินจากคนหลายคนที่พูดถึงการจับจ่ายของคนอื่น
แต่ คำพูดเช่นนี้ใช้เปรียบเทียบโดยตรงได้หรือปล่า?
ถ้ามีเงิน 30 ล้าน คุณจะซื้อรถสปอร์ตไว้ขับติดบนถนนกรุงเทพมั้ย?
หลายคนคงมีคำตอบในใจ ซึ่งแน่นอนว่าประโยคหนึ่งที่ได้ยินเสมอคือ "ถ้ามีเงินเท่านี้ ซื้อ XXX ดีกว่า" คือ มองว่าเงินก้อนนั้น มีอย่างอื่นที่น่าซื้อมากกว่า
ถ้ามีเงิน 45 ล้าน คุณจะซื้อเพนท์เฮาส์หรูริมโค้งคุ้งน้ำใจกลางกรุงเทพมั้ย
ถ้ามีเงิน 5 ล้านคุณจะส่งลูกเรียนไฮสคูลต่างประเทศมั้ย
ถ้ามีเงิน 3 ล้าน คุณจะซื้อนาฬิกาข้อมือเรือนนึงหรือเปล่า
ถ้ามีเงิน 1 ล้าน คุณจะซื้อมอเตอร์ไซค์ไว้ขี่เล่นๆวันหยุดซักคันมั้ย
ถ้ามีเงิน 5 แสน คุณจะซื้อจักรยานไว้ออกกำลังกายซักคันมั้ย
ถ้ามีเงิน 3 แสน คุณจะไปพักตากอากาศ 3 วัน 2 คืน รีสอร์ทหรูบินชั้นหนึ่งที่ภูเก็ต ที่เดียวกับนักบอลระดับโลกมานอนมั้ย
ถ้ามีเงิน 1 แสน คุณจะซื้อทีวีเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดมาดูหนังที่บ้านมั้ย
ถ้ามี 7 หมื่น คุณจะซื้อไอโฟนรุ่นใหม่มาใช้งานหรือเปล่า
ถ้ามี 4 หมื่น คุณจะจองเชฟมาทำอาหารในงานเลี้ยงส่วนตัวเล็กๆที่บ้านมั้ย
ถ้ามี 2 หมื่น คุณจะซื้อรองเท้ากีฬารุ่นพิเศษที่ระลึกของยี่ห้อนั้นมาใส่วิ่งมั้ย
ถ้ามี 8 พัน คุณจะจ้างพริตตี้มาเอนเตอร์เทนฟิลแฟนค้างคืนยันเช้ากับคุณมั้ย
ถ้ามี 3 พัน คุณจะจองร้านตัดผมเพื่อสระซอยก่อนไปงานแต่งงานหรือเปล่า
ถ้ามี 1 พันคุณจะดูหนังโรงพิเศษระบบล้ำยุคพร้อมชุดป็อปคอร์นมั้ย
ถ้ามี 6 ร้อย คุณจะซื้อเบียร์ที่คราฟท์มาดีๆสักขวดนั่งจิบไปกับอาหารรึเปล่า
ถ้ามี 2 ร้อย คุณจะชิมเค้กฝีมือเชฟขนมหวานที่เปิดร้านในย่านธุรกิจกลางกรุงขนาด 4 คำหมดมั้ย
ถ้ามี 80 คุณจะซื้อเนื้อวากิวนำเข้าเสียบไม้ย่างคิออสในห้างกินมั้ย
ถ้ามี 40 คุณจะซื้อน้ำแร่ขวดเล็ฏดื่มดับกระหายหรือเปล่า
ผมว่าคำตอบพวกนี้ ไม่ต้องการใครมาตอบทีละข้อหรอกครับ แต่มันสะท้อนความจริงในดลกนี้ว่า การใช้เงิน ของใคร ของมัน ตราบที่ผู้ใช้ไม่ได้ทะยานอยากเกินกำลัง จนต้องสร้างหนี้ ก่อสินที่ไร้ความสามารถจัดการได้
เช่นนั้น ทำไม เราจึงต้องไป ประเมิน ผู้อื่น ที่ใช้เงินกับสิ่งที่ไม่ตรงใจของเรา ทำไมเราจึงต้องเอาตัวเราไปเป็นตาชั่งว่าเขาจับจ่ายได้อย่างมีคุณค่า คุ้มค่าแค่ไหน และ หเนือกว่าคำว่า"ทำไม"
"ควรหรือไม่" ที่เราจะตีตรา คนที่ใช้เงินแบบใดๆว่า ไม่แลาด โดนหลอก ติดกับดัก หรือ ประเมินพวกเขาว่า"โง่" และ เป็นตัวเราที่"ฉลาด" กว่า ที่ตระหนักรู้ถึงความคุ้มค่าในการจับจ่าย และไม่จ่ายสิ่งต่างๆลงไปโดย"ไม่จำเป็น"
หรือเพราะเรา มักนิยม ยกค่าตนเองว่า ฉลาด สมเหตุผล ในการเลือกซื้อสิ่งต่างๆมาอย่างมีปัญญา คิดไตร่ตรองอย่างดิบดีแล้ว
ใครที่ใช้จ่ายและไตร่ตรองไม่ตรงกับเรา ก็ไม่ควรมีปัญญาเทียบเรา ในทางกลับกัน หากเราต้องยอมรับว่าเรา"ไม่มีกำลัง" มันก็เจ็บกว่าที่จะหาเหตุผลเพื่อสนับสนุนความมีปัญญาของเราหรือไม่
ซึ่งเมื่อมองในอีกมุมหนึ่ง มันคือนิทาน"องุ่นเปรี้ยว" ที่จิ้งจอกน้อย ตีค่าองุ่นที่สูงเกินเอื้อมว่าเปรี้ยวและไม่อร่อย ใครที่พยายามสนใจจะกินมัน คือพวกที่ไร้สมอง ตน ที่เลือกเดินผ่านไป แลาดและมากด้วยปัญญามากกว่า