สินค้า Made in Japan ชื่อนี้การันตีคุณภาพ
https://www.facebook.com/share/p/1AYPQTbPTp/?mibextid=wwXIfr
Made in Japan วลีอันทรงพลัง ที่ไม่ได้แค่สื่อถึงประเทศที่ผลิตสินค้าเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งที่แสดงถึงเอกลักษณ์แห่งความพิถีพิถัน ที่ยากจะหาคู่เทียบได้
แต่ในวันนี้ ความทรงพลังนั้นกำลังถูกท้าทาย ด้วยเทรนด์สินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ ที่เข้ามาตีตลาดญี่ปุ่นโดยตรง
แล้วสินค้า Made in Japan ซึ่งแสดงถึง DNA แห่งความคราฟต์ของญี่ปุ่น จะยังเป็นจุดขายที่โลกต้องการอยู่หรือไม่ ?
ในบทความนี้ ลงทุนแมนจะพาไปหาคำตอบกัน..
“Made in Japan” ไม่ว่าคำนี้จะไปปรากฏที่ไหน ก็สามารถทำให้ผู้คนเชื่อมั่นในมาตรฐาน คุณภาพ และความปลอดภัยเสมอ
ด้วยภาพลักษณ์แห่งความประณีต ทำให้สินค้าญี่ปุ่นนั้นได้รับความนิยม และตีตลาดไปได้ทั่วโลก
รู้หรือไม่ว่า หากย้อนกลับไปในอดีต ในช่วงแรกของการแข่งขันบนเวทีโลก สินค้า Made in Japan นั้น ถูกมองว่าเป็นเพียงสินค้าราคาถูก ที่มีคุณภาพต่ำ
แต่ต่อมา ได้หันมามุ่งเน้นที่จะปรับปรุงวิธีการอย่างต่อเนื่อง (Kaizen) ที่ไม่ใช่แค่ทำให้มีราคาถูกแล้วจบ
จนค่อย ๆ เจอเทคโนโลยีในแบบของตัวเอง
ทำให้สินค้า Made in Japan มีคุณภาพดีขึ้นเรื่อย ๆ จนได้รับการยอมรับไปทั่วโลก ในเวลาต่อมา
แม้ความพิถีพิถันของคนญี่ปุ่น จะถูกมองว่าเป็นจุดแข็งที่โดดเด่นมากของสินค้า Made in Japan
แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นเหมือนดาบสองคม..
ยิ่งในช่วงไม่กี่ปีมานี้ สินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีนและเกาหลีใต้ ได้รับความนิยมมากขึ้นไปทั่วโลก รวมถึงในญี่ปุ่นเอง
ทำให้สินค้า Made in Japan ดูเหมือนว่า จะเสื่อมความขลังลง..
แล้วญี่ปุ่นแก้เกมอย่างไร ?
แน่นอนว่า แบรนด์ญี่ปุ่นยังคงไม่ละทิ้ง “ความพิถีพิถัน” ซึ่งเป็นจุดขายของตัวเอง แต่เลือกที่จะต่อยอดความคราฟต์นี้ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น Charmant ผู้ผลิตแว่นตาอันดับต้น ๆ ของประเทศญี่ปุ่น ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง ของการนำความประณีต ไปใช้ในการผลิตแบบจำนวนมาก (Mass Production)
โดย Charmant นั้น ถือเป็นเจ้าแรก ๆ ที่มีการนำแร่สุดแกร่งอย่างไทเทเนียม มาผลิตเป็นกรอบแว่นได้สำเร็จ
รวมถึงเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนต่าง ๆ ของแว่นตาได้ด้วยตัวเอง
อะไรอยู่เบื้องหลัง Charmant ?
คำตอบก็คือ “เทคโนโลยีขั้นสูง” ที่เป็นลักษณะเฉพาะของ Charmant เอง และ “กระบวนการผลิตและควบคุมคุณภาพ (QC)” ที่มีความละเอียด พิถีพิถันทุกขั้นตอน จนแทบไม่มีของเสียจากการผลิต
รวมถึงแนวคิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการมองหา “ความไม่พอใจ” ที่เกิดขึ้นจากการใช้งาน เช่น ใส่แว่นแล้วรู้สึกเจ็บ หนัก เสียดสี
โดย Charmant ถือโอกาสนำความไม่พอใจเหล่านั้น มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ
ทั้งหมดนี้ทำให้ลูกค้ารู้ว่า สินค้าของ Charmant ทุกชิ้น ถูกผลิตขึ้นด้วยความตั้งใจ ซึ่งเป็นการสร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้า
เมื่อ DNA ความคราฟต์ ผสานเข้ากับเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ Charmant ยังคงแข่งขันได้ในตลาดโลก
ทำให้ช่วงปี 2020-2024 ที่ผ่านมา ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศที่มีการเติบโตเฉลี่ยต่อปี ของมูลค่าการส่งออกแว่นตา มากที่สุดในโลก
และเป็น 1 ใน 5 ผู้ส่งออกแว่นตารายใหญ่ของโลก
นอกจากนี้ Charmant ยังต่อยอดองค์ความรู้บางอย่าง เช่น การแปรรูปไทเทเนียม เพื่อไปสร้างมูลค่ากับธุรกิจใหม่ ๆ อย่างอุปกรณ์ทางการแพทย์อีกด้วย
กรณีของ Charmant ทำให้เห็นว่า แม้การแข่งขันในตลาดโลกยุคนี้ จะเน้นแข่งกันที่ต้นทุนหรือจำนวน ว่าใครทำได้ถูก ใครผลิตได้เยอะ คนคนนั้นมักครองตลาด
ซึ่ง Charmant ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าไม่จริงเสมอไป..
ย้อนกลับไปที่คำถามตอนต้นที่ว่า สินค้า Made in Japan นั้น ยังเป็นสิ่งที่โลกต้องการอยู่หรือไม่ ?
คำตอบที่ดีที่สุดก็คงเป็น ยังเป็นอยู่..
นั่นก็เป็นเพราะว่า ในมุมของผู้ผลิตสินค้าแบรนด์ญี่ปุ่นนั้น จะมองว่า ของบางอย่างนั้น “รีบไม่ได้”
หรือแม้แต่จะ “กดต้นทุน” ซึ่งมักต้องแลกมากับคุณภาพที่ลดลง ก็ไม่ได้เช่นกัน
โดยแม้แนวคิดนี้ จะค่อนข้างสวนกระแสโลกทุนนิยมในยุคนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่า มันคือเอกลักษณ์ของความเป็นญี่ปุ่น ที่แสดงให้เห็นถึงความพิถีพิถัน ซึ่งยากที่จะลอกเลียนแบบ
นั่นทำให้ความคราฟต์ของสินค้า Made in Japan ยังมีช่องให้ขายของได้ และยังมีโอกาสเติบโตได้ด้วย
ซึ่งญี่ปุ่นก็กำลังตะโกนบอกโลกว่า เมื่อไรก็ตามที่เลิกมุ่งไปที่จำนวน หรือราคา และหันกลับมาหาความหมาย หรือคุณค่าของสินค้าจริง ๆ
ความคราฟต์ของสินค้า Made in Japan คือคำตอบนั้น..
วันนี้ โลกยังต้องการสินค้า Made in Japan อยู่หรือไม่ ? /โดย ลงทุนแมน
https://www.facebook.com/share/p/1AYPQTbPTp/?mibextid=wwXIfr
Made in Japan วลีอันทรงพลัง ที่ไม่ได้แค่สื่อถึงประเทศที่ผลิตสินค้าเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งที่แสดงถึงเอกลักษณ์แห่งความพิถีพิถัน ที่ยากจะหาคู่เทียบได้
แต่ในวันนี้ ความทรงพลังนั้นกำลังถูกท้าทาย ด้วยเทรนด์สินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ ที่เข้ามาตีตลาดญี่ปุ่นโดยตรง
แล้วสินค้า Made in Japan ซึ่งแสดงถึง DNA แห่งความคราฟต์ของญี่ปุ่น จะยังเป็นจุดขายที่โลกต้องการอยู่หรือไม่ ?
ในบทความนี้ ลงทุนแมนจะพาไปหาคำตอบกัน..
“Made in Japan” ไม่ว่าคำนี้จะไปปรากฏที่ไหน ก็สามารถทำให้ผู้คนเชื่อมั่นในมาตรฐาน คุณภาพ และความปลอดภัยเสมอ
ด้วยภาพลักษณ์แห่งความประณีต ทำให้สินค้าญี่ปุ่นนั้นได้รับความนิยม และตีตลาดไปได้ทั่วโลก
รู้หรือไม่ว่า หากย้อนกลับไปในอดีต ในช่วงแรกของการแข่งขันบนเวทีโลก สินค้า Made in Japan นั้น ถูกมองว่าเป็นเพียงสินค้าราคาถูก ที่มีคุณภาพต่ำ
แต่ต่อมา ได้หันมามุ่งเน้นที่จะปรับปรุงวิธีการอย่างต่อเนื่อง (Kaizen) ที่ไม่ใช่แค่ทำให้มีราคาถูกแล้วจบ
จนค่อย ๆ เจอเทคโนโลยีในแบบของตัวเอง
ทำให้สินค้า Made in Japan มีคุณภาพดีขึ้นเรื่อย ๆ จนได้รับการยอมรับไปทั่วโลก ในเวลาต่อมา
แม้ความพิถีพิถันของคนญี่ปุ่น จะถูกมองว่าเป็นจุดแข็งที่โดดเด่นมากของสินค้า Made in Japan
แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นเหมือนดาบสองคม..
ยิ่งในช่วงไม่กี่ปีมานี้ สินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีนและเกาหลีใต้ ได้รับความนิยมมากขึ้นไปทั่วโลก รวมถึงในญี่ปุ่นเอง
ทำให้สินค้า Made in Japan ดูเหมือนว่า จะเสื่อมความขลังลง..
แล้วญี่ปุ่นแก้เกมอย่างไร ?
แน่นอนว่า แบรนด์ญี่ปุ่นยังคงไม่ละทิ้ง “ความพิถีพิถัน” ซึ่งเป็นจุดขายของตัวเอง แต่เลือกที่จะต่อยอดความคราฟต์นี้ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น Charmant ผู้ผลิตแว่นตาอันดับต้น ๆ ของประเทศญี่ปุ่น ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง ของการนำความประณีต ไปใช้ในการผลิตแบบจำนวนมาก (Mass Production)
โดย Charmant นั้น ถือเป็นเจ้าแรก ๆ ที่มีการนำแร่สุดแกร่งอย่างไทเทเนียม มาผลิตเป็นกรอบแว่นได้สำเร็จ
รวมถึงเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนต่าง ๆ ของแว่นตาได้ด้วยตัวเอง
อะไรอยู่เบื้องหลัง Charmant ?
คำตอบก็คือ “เทคโนโลยีขั้นสูง” ที่เป็นลักษณะเฉพาะของ Charmant เอง และ “กระบวนการผลิตและควบคุมคุณภาพ (QC)” ที่มีความละเอียด พิถีพิถันทุกขั้นตอน จนแทบไม่มีของเสียจากการผลิต
รวมถึงแนวคิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการมองหา “ความไม่พอใจ” ที่เกิดขึ้นจากการใช้งาน เช่น ใส่แว่นแล้วรู้สึกเจ็บ หนัก เสียดสี
โดย Charmant ถือโอกาสนำความไม่พอใจเหล่านั้น มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ
ทั้งหมดนี้ทำให้ลูกค้ารู้ว่า สินค้าของ Charmant ทุกชิ้น ถูกผลิตขึ้นด้วยความตั้งใจ ซึ่งเป็นการสร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้า
เมื่อ DNA ความคราฟต์ ผสานเข้ากับเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ Charmant ยังคงแข่งขันได้ในตลาดโลก
ทำให้ช่วงปี 2020-2024 ที่ผ่านมา ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศที่มีการเติบโตเฉลี่ยต่อปี ของมูลค่าการส่งออกแว่นตา มากที่สุดในโลก
และเป็น 1 ใน 5 ผู้ส่งออกแว่นตารายใหญ่ของโลก
นอกจากนี้ Charmant ยังต่อยอดองค์ความรู้บางอย่าง เช่น การแปรรูปไทเทเนียม เพื่อไปสร้างมูลค่ากับธุรกิจใหม่ ๆ อย่างอุปกรณ์ทางการแพทย์อีกด้วย
กรณีของ Charmant ทำให้เห็นว่า แม้การแข่งขันในตลาดโลกยุคนี้ จะเน้นแข่งกันที่ต้นทุนหรือจำนวน ว่าใครทำได้ถูก ใครผลิตได้เยอะ คนคนนั้นมักครองตลาด
ซึ่ง Charmant ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าไม่จริงเสมอไป..
ย้อนกลับไปที่คำถามตอนต้นที่ว่า สินค้า Made in Japan นั้น ยังเป็นสิ่งที่โลกต้องการอยู่หรือไม่ ?
คำตอบที่ดีที่สุดก็คงเป็น ยังเป็นอยู่..
นั่นก็เป็นเพราะว่า ในมุมของผู้ผลิตสินค้าแบรนด์ญี่ปุ่นนั้น จะมองว่า ของบางอย่างนั้น “รีบไม่ได้”
หรือแม้แต่จะ “กดต้นทุน” ซึ่งมักต้องแลกมากับคุณภาพที่ลดลง ก็ไม่ได้เช่นกัน
โดยแม้แนวคิดนี้ จะค่อนข้างสวนกระแสโลกทุนนิยมในยุคนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่า มันคือเอกลักษณ์ของความเป็นญี่ปุ่น ที่แสดงให้เห็นถึงความพิถีพิถัน ซึ่งยากที่จะลอกเลียนแบบ
นั่นทำให้ความคราฟต์ของสินค้า Made in Japan ยังมีช่องให้ขายของได้ และยังมีโอกาสเติบโตได้ด้วย
ซึ่งญี่ปุ่นก็กำลังตะโกนบอกโลกว่า เมื่อไรก็ตามที่เลิกมุ่งไปที่จำนวน หรือราคา และหันกลับมาหาความหมาย หรือคุณค่าของสินค้าจริง ๆ
ความคราฟต์ของสินค้า Made in Japan คือคำตอบนั้น..