
คือผมดูพวกหนังฝรั่งแนวธุรกิจ มันเหมือนเป็นเรื่องปกติเลยนะครับ ใครจะฮุบกิจการใคร เค้าเอาผลประโยชน์เป็นหลัก ยึดสัญญาทางกฏหมาย ตรงไปตรงมา
คือไม่ค่อยมีแบบบ้านเรา ที่ใช้สัญญาใจกันซะส่วนใหญ่ คือ พวกฝรั่งๆ เค้าค่อนข้างจะตรงๆ เรื่องผลประโยชน์
แต่อาจจะมีเล่ห์เลี่ยมทางกฏหมาย คือ จะสู้ก็เล่นกันในแง่สัญญากฏหมาย
ซึ่งโลกธรุกิจ ต้องยอมรับว่า มันต้องเจอแน่ๆ เล่ห์เหลี่ยมต่างๆ
อย่างเรื่อง Facebook มาร์ค ก็ก่อตั้งบริษัทมากับเพื่อนสมัยเรียน กับ เอดูอาร์โด้
แต่มาร์คอยากขยายธุรกิจของตัวเองเลยไปฮั้วกับพวกนายทุน แล้วไปหลอกเพื่อนตัวเองอย่าง เอดูอาร์โด้ ให้เซ็นใบขายหุ้น กลายเป็นว่าเพื่อนเหลือหุ้นในมือแค่ 0.3% กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อยไม่มีอำนาจตัดสินใจอะไร ทั้งๆที่เป็นเพื่อนรักก่อตั้ง Facebook มาตั้งแต่เริ่ม Startup
สุดท้าย เอดูอาร์โด้ จะทำเรื่องฟ้องเพื่อนมาร์ค เลยมานั่งโต๊ะเจรจา เค้าว่าเงินไกล่เกลี่ยที่มาร์คให้กับเพื่อนเอดูอาร์โด้ ไม่ได้เปิดเผย แต่ยอมใส่ชื่อ เอดูอาร์โด้ กลับมาอีกครั้งในฐานะ ผู้ก่อตั้ง Facebook
คือ เรื่องก็จบที่ผลประโยชน์แบบตรงประเด็นครับ
แต่บ้านเราจะยุ่งยากหน่อย ตอนเริ่มธุรกิจตั้งต้น จะเป็นสัญญาใจ ซะส่วนใหญ่ วลีที่เจอกันประจำ คือ อยู่กันแบบพี่น้อง อยู่กันแบบครอบครัว
ซึ่งโลกธุรกิจจริงๆ มันไม่มีอยู่จริง พอธุรกิจเติบโต จะหาที่ลงของผลประโยชน์ไม่ลงตัว เพราะในเรื่องสัญญาไม่ได้ทำตั้งแต่แรก หรือสัญญาคลุมเครือ
มีการเหลี่ยมกันทีหลัง คือ ถ้าร่วมหุ้นทำธุรกิจจริง ต้องทำแบบฝรั่งครับ ทำสัญญาชัดเจนตั้งแต่แรกไปเลย ถ้าเหลี่ยมใส่กันภายหลังก็มาสู้กันในแง่สัญญากฏหมาย ตั้งโต๊ะเจรจา
เราต้องแยกแยะนะครับ การทำธุรกิจร่วมกัน มันต้องเอาผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง และไม่ผิดตามแง่กฏหมาย และสัญญาที่มีผลทางกฏหมาย
คือมาตัดพ้อที่หลังเรื่อง จริยธรรม มันจะคุยไม่จบสักที ตราบใดที่ธุรกิจนั้นถูกกฏหมายนะครับ
สังคมฝรั่ง ทำธุรกิจอะไรก็แล้วแต่ สัญญาต้องมีจริงๆ ครับ ทำธุรกิจครอบครัว สัญญาใจ แบบพี่น้องไม่มีอยู่จริง
เพราะธุรกิจทำเพื่อผลกำไร ไม่ใช่การกุศล ประมาณนั้นครับ
เพื่อนๆ มีมุมมองอย่างไร
ทำไมเวลาทำธุรกิจร่วมหุ้นกัน ต้องถามหา จริยธรรม ด้วยครับ ทำไมไม่เอาผลประโยชน์เป็นที่ตั้งกับยึดกฏหมายเป็นหลัก
คือผมดูพวกหนังฝรั่งแนวธุรกิจ มันเหมือนเป็นเรื่องปกติเลยนะครับ ใครจะฮุบกิจการใคร เค้าเอาผลประโยชน์เป็นหลัก ยึดสัญญาทางกฏหมาย ตรงไปตรงมา
คือไม่ค่อยมีแบบบ้านเรา ที่ใช้สัญญาใจกันซะส่วนใหญ่ คือ พวกฝรั่งๆ เค้าค่อนข้างจะตรงๆ เรื่องผลประโยชน์
แต่อาจจะมีเล่ห์เลี่ยมทางกฏหมาย คือ จะสู้ก็เล่นกันในแง่สัญญากฏหมาย
ซึ่งโลกธรุกิจ ต้องยอมรับว่า มันต้องเจอแน่ๆ เล่ห์เหลี่ยมต่างๆ
อย่างเรื่อง Facebook มาร์ค ก็ก่อตั้งบริษัทมากับเพื่อนสมัยเรียน กับ เอดูอาร์โด้
แต่มาร์คอยากขยายธุรกิจของตัวเองเลยไปฮั้วกับพวกนายทุน แล้วไปหลอกเพื่อนตัวเองอย่าง เอดูอาร์โด้ ให้เซ็นใบขายหุ้น กลายเป็นว่าเพื่อนเหลือหุ้นในมือแค่ 0.3% กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อยไม่มีอำนาจตัดสินใจอะไร ทั้งๆที่เป็นเพื่อนรักก่อตั้ง Facebook มาตั้งแต่เริ่ม Startup
สุดท้าย เอดูอาร์โด้ จะทำเรื่องฟ้องเพื่อนมาร์ค เลยมานั่งโต๊ะเจรจา เค้าว่าเงินไกล่เกลี่ยที่มาร์คให้กับเพื่อนเอดูอาร์โด้ ไม่ได้เปิดเผย แต่ยอมใส่ชื่อ เอดูอาร์โด้ กลับมาอีกครั้งในฐานะ ผู้ก่อตั้ง Facebook
คือ เรื่องก็จบที่ผลประโยชน์แบบตรงประเด็นครับ
แต่บ้านเราจะยุ่งยากหน่อย ตอนเริ่มธุรกิจตั้งต้น จะเป็นสัญญาใจ ซะส่วนใหญ่ วลีที่เจอกันประจำ คือ อยู่กันแบบพี่น้อง อยู่กันแบบครอบครัว
ซึ่งโลกธุรกิจจริงๆ มันไม่มีอยู่จริง พอธุรกิจเติบโต จะหาที่ลงของผลประโยชน์ไม่ลงตัว เพราะในเรื่องสัญญาไม่ได้ทำตั้งแต่แรก หรือสัญญาคลุมเครือ
มีการเหลี่ยมกันทีหลัง คือ ถ้าร่วมหุ้นทำธุรกิจจริง ต้องทำแบบฝรั่งครับ ทำสัญญาชัดเจนตั้งแต่แรกไปเลย ถ้าเหลี่ยมใส่กันภายหลังก็มาสู้กันในแง่สัญญากฏหมาย ตั้งโต๊ะเจรจา
เราต้องแยกแยะนะครับ การทำธุรกิจร่วมกัน มันต้องเอาผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง และไม่ผิดตามแง่กฏหมาย และสัญญาที่มีผลทางกฏหมาย
คือมาตัดพ้อที่หลังเรื่อง จริยธรรม มันจะคุยไม่จบสักที ตราบใดที่ธุรกิจนั้นถูกกฏหมายนะครับ
สังคมฝรั่ง ทำธุรกิจอะไรก็แล้วแต่ สัญญาต้องมีจริงๆ ครับ ทำธุรกิจครอบครัว สัญญาใจ แบบพี่น้องไม่มีอยู่จริง
เพราะธุรกิจทำเพื่อผลกำไร ไม่ใช่การกุศล ประมาณนั้นครับ
เพื่อนๆ มีมุมมองอย่างไร