“ ฆราวาส ” จะประพฤติธรรมะ
เพื่อความเป็น “ พระอริยะ ” ได้หรือไม่?
.
…. “ คําถามที่ว่า “ฆราวาสจะมีชีวิตที่เยือกเย็นเป็นนิพพานได้สักเท่าไร?”
นี่ รู้สึกว่าเป็นปัญหามาก เพราะว่าตามปกตินั้นเขาเอาคําว่านิพพานไปไว้สูงสุดเอื้อม, ผิดหลักเดิมในภาษาบาลี.
…. คําว่า “นิพพาน” ไม่ได้อยู่สูงสุดเอื้อม จนไม่เกี่ยวกับฆราวาส
พวกฆราวาสที่มีชีวิตเยือกเย็นนั่นแหละ เขาก็ใช้คําว่า “นิพพาน” ด้วยเหมือนกัน,
เล่าเรื่องตัวอย่างที่เคยเล่าแล้วเล่าอีกก็ได้ เช่นว่า
ในวันที่มีการประกวดหญิงสาวสําหรับจะเลือกเป็นชายาของ“พระสิทธัตถะ”นั้น;
ในตอนท้ายของการประกวดนั้น มีหญิงสาวคนหนึ่งใน “สกุลศากยะ” นั่นแหละ
พอเห็นพระสิทธัตถะเดินผ่านมา หญิงสาวผู้นั้นก็ร้องขึ้นว่า “บุรุษนี้ เป็นลูกของใคร พ่อแม่ของเขาก็นิพพาน,
บุรุษนี้เป็นสามีของผู้ใด ภรรยาของเขาก็ นิพพาน”
…. ท่านใช้คําว่า “นิพพาน” อย่างนี้เลยแหละ, ภาษาบาลีแท้ๆว่า “นิพฺพุโต” ๆ คือ นิพพานแล้ว ดับแล้ว เย็นสนิทแล้ว,
ข้อนี้แสดงว่า ในภาษาชาวบ้านธรรมดาๆ เขาก็เอาคําว่า “นิพพาน” นี้มาใช้อยู่ในชีวิตบ้านเรือน;
ถ้าบ้านเรือนนั้นมีชีวิตที่เยือกเย็น ไม่เร่าร้อน เหมือนผู้อื่นแล้วก็เรียกว่ามันเป็นชีวิตเย็น เป็นชีวิตที่เยือกเย็น, เป็นชีวิตนิพพาน.
…. เป็นอันว่าฆราวาสนี้สามารถที่จะมีชีวิตเยือกเย็นเป็นนิพพานได้ ตามมาก ตามน้อย ตามสมควรแก่การกระทําของตน
จึงเป็นอันสรุปได้ว่า แม้เป็นฆราวาสก็ควรจะสนใจเรื่องธรรมประยุกต์ แล้วก็มีธรรมประยุกต์ให้เต็มที่สําหรับความเป็นฆราวาส.
.
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับชักจูงไม่ให้ฆราวาสสนใจเรื่องนิพพาน
…. ความเข้าใจผิดว่า ฆราวาสไม่ควรขวนขวายอะไรให้สูงไปกว่าการทําไร่ ทํานา ทํามาหากิน
นี่ เป็นความเข้าใจผิดที่เคยมี และอาจจะกําลังมี, ขอให้ช่วยกันสังเกตดูให้ดี ว่ามันยังมีคําพูดชักจูงว่า ฆราวาสอย่าไปสนใจเรื่องนิพพาน, เคยมีมาแล้ว,
ความเข้าใจ ผิดอย่างนี้มันเคยมีมาแล้ว และเดี๋ยวนี้ก็กําลังมี, เมื่ออาตมาไปพูดเรื่อง “จิตว่าง” ไม่ยึดมั่นถือมั่นเป็นสิ่งที่ควรกระทํา มีความสุข ฆราวาสทําได้ และมีความสุขในชีวิตฆราวาส. ก็มีผู้รู้ ผู้ที่เขาเรียกตัวเองเป็น ผู้รู้ ใครๆก็นับถือว่าเป็น ผู้รู้ เขาคัดค้านว่าทําไม่ได้ :
จะทําหน้าที่ฆราวาสกับทําหน้าที่ของพระอริยสาวกเพื่อไปนิพพานพร้อมกันนั้นทําไม่ได้ หรือจะพูดว่า เป็นเศรษฐีพร้อมๆกันกับจะเป็นพระอริยบุคคลด้วยนั้น มันเป็นไม่ได้,
เขาเป็นไม่ได้ ถ้าขืนไปทําก็เหมือนกับว่าเอาขนมปังมาทาเนยทั้งสองหน้า มันก็เลอะเทอะหมด ไม่มีที่จับ. นี่ก็ยังมีความเห็นอย่างนี้ คัดค้านอย่างนี้ แม้ในใจกลางพระนคร ก็พูดเรื่องนี้ ซึ่งก็พูดที่คุรุสภา.
…. เอาละ, ขอให้เข้าใจกันเสียทีว่า แม้ในปัจจุบันนี้ก็ยังมีผู้เชื่อว่า ฆราวาสจะประพฤติธรรมะเพื่อความเป็นพระอริยะไม่ได้ หรือไม่สมควร,
ฆราวาสจะก้มหน้าก้มตาเป็นฆราวาสเหมือนกับควายไถนาไปเรื่อยๆก็แล้วกัน; อย่ามาเผยอให้สูงขึ้นมาถึงเรื่องของ ธรรมะนี้เลย.
…. อาตมาบอกว่าไม่ได้หมายความอย่างนั้น : ไม่ได้หมายความว่าขนมปังแผ่นเดียวทาเนยสองหน้า แต่ต้องการจะให้หมายความเหมือนกับแซนวิชที่มีขนมปังประกบสองข้าง, แต่เป็นขนมปังคนละชนิดกัน; อย่างนี้ไม่ดีกว่าหรือ แซนวิชที่มีเนื้อ อาหารอยู่ตรงกลาง แล้วมีขนมปังประกบสองด้าน; ทั้งสองด้านนั้นไม่เหมือนกัน ด้านหนึ่งเป็นอย่างหนึ่ง, อีกด้านหนึ่งเป็นอีกอย่างหนึ่ง แล้วมันคงจะดีกว่าที่เหมือนกันมั๊ง
…. นี่การที่ฆราวาสเราทําหน้าที่ฆราวาส เหมือนควายไถนา ทนทรมานมันก็ทําสิ; แต่อีกทางหนึ่งรู้จักทําจิตใจไม่ให้เป็นทุกข์ คือมีธรรมะของพระอริยเจ้า ประกอบกํากับอยู่อย่างเพียงพอ,
นั้นก็ทําด้วยซี่ นี่ชีวิตนี้มันถูกประกบไว้ด้วยหน้าที่พร้อมกันไป ๒ อย่าง คือหน้าที่จะเลี้ยงชีวิต อย่างชาวบ้าน อย่างฆราวาส นี้ก็ทําไป, หน้าที่ที่จะ บรรเทากิเลส บรรเทาความร้อน หรือดับไฟ ลดแรงไฟเสีย นั้นก็ทําไป;
ก็จะเป็นฆราวาสที่เป็นอริยสาวกของพระพุทธเจ้า มีธรรมะ ประพฤติธรรมะ ประกอบอยู่ด้วยธรรมะ แล้วก็มีความทุกข์น้อย เป็นฆราวาสที่ดี
เดี๋ยวนี้มันไม่ยอมรับมติอันนี้ จะให้ฆราวาสเป็นฆราวาส แล้วก็ยังแถมชักจูงกันว่า “ป่วยการ” สมัยนี้ไม่มีการบรรลุมรรคผลอะไรแล้ว อย่าไปพูด อย่าไปหวัง เรื่องการบรรลุมรรคผลอะไรเลย ทําไร่ไถนาไปให้สบายดีกว่า อย่างนี้ก็มี.”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายประจำวันเสาร์ แห่งภาควิสาขบูชา ปี ๒๕๒๗ ครั้งที่ ๑๒ เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๒๗ หัวข้อเรื่อง “พุทธธรรมประยุกต์ในระดับชาวบ้านทั่วไป” จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่มชื่อว่า “พุทธธรรมประยุกต์” หน้า ๓๔๐ - ๓๔๒
พระพุทธทาสตอบคำถามคนไม่บวชพระบวชชีเป็นอริยะไปนิพพานได้ไหม
เพื่อความเป็น “ พระอริยะ ” ได้หรือไม่?
.
…. “ คําถามที่ว่า “ฆราวาสจะมีชีวิตที่เยือกเย็นเป็นนิพพานได้สักเท่าไร?”
นี่ รู้สึกว่าเป็นปัญหามาก เพราะว่าตามปกตินั้นเขาเอาคําว่านิพพานไปไว้สูงสุดเอื้อม, ผิดหลักเดิมในภาษาบาลี.
…. คําว่า “นิพพาน” ไม่ได้อยู่สูงสุดเอื้อม จนไม่เกี่ยวกับฆราวาส
พวกฆราวาสที่มีชีวิตเยือกเย็นนั่นแหละ เขาก็ใช้คําว่า “นิพพาน” ด้วยเหมือนกัน,
เล่าเรื่องตัวอย่างที่เคยเล่าแล้วเล่าอีกก็ได้ เช่นว่า
ในวันที่มีการประกวดหญิงสาวสําหรับจะเลือกเป็นชายาของ“พระสิทธัตถะ”นั้น;
ในตอนท้ายของการประกวดนั้น มีหญิงสาวคนหนึ่งใน “สกุลศากยะ” นั่นแหละ
พอเห็นพระสิทธัตถะเดินผ่านมา หญิงสาวผู้นั้นก็ร้องขึ้นว่า “บุรุษนี้ เป็นลูกของใคร พ่อแม่ของเขาก็นิพพาน,
บุรุษนี้เป็นสามีของผู้ใด ภรรยาของเขาก็ นิพพาน”
…. ท่านใช้คําว่า “นิพพาน” อย่างนี้เลยแหละ, ภาษาบาลีแท้ๆว่า “นิพฺพุโต” ๆ คือ นิพพานแล้ว ดับแล้ว เย็นสนิทแล้ว,
ข้อนี้แสดงว่า ในภาษาชาวบ้านธรรมดาๆ เขาก็เอาคําว่า “นิพพาน” นี้มาใช้อยู่ในชีวิตบ้านเรือน;
ถ้าบ้านเรือนนั้นมีชีวิตที่เยือกเย็น ไม่เร่าร้อน เหมือนผู้อื่นแล้วก็เรียกว่ามันเป็นชีวิตเย็น เป็นชีวิตที่เยือกเย็น, เป็นชีวิตนิพพาน.
…. เป็นอันว่าฆราวาสนี้สามารถที่จะมีชีวิตเยือกเย็นเป็นนิพพานได้ ตามมาก ตามน้อย ตามสมควรแก่การกระทําของตน
จึงเป็นอันสรุปได้ว่า แม้เป็นฆราวาสก็ควรจะสนใจเรื่องธรรมประยุกต์ แล้วก็มีธรรมประยุกต์ให้เต็มที่สําหรับความเป็นฆราวาส.
.
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับชักจูงไม่ให้ฆราวาสสนใจเรื่องนิพพาน
…. ความเข้าใจผิดว่า ฆราวาสไม่ควรขวนขวายอะไรให้สูงไปกว่าการทําไร่ ทํานา ทํามาหากิน
นี่ เป็นความเข้าใจผิดที่เคยมี และอาจจะกําลังมี, ขอให้ช่วยกันสังเกตดูให้ดี ว่ามันยังมีคําพูดชักจูงว่า ฆราวาสอย่าไปสนใจเรื่องนิพพาน, เคยมีมาแล้ว,
ความเข้าใจ ผิดอย่างนี้มันเคยมีมาแล้ว และเดี๋ยวนี้ก็กําลังมี, เมื่ออาตมาไปพูดเรื่อง “จิตว่าง” ไม่ยึดมั่นถือมั่นเป็นสิ่งที่ควรกระทํา มีความสุข ฆราวาสทําได้ และมีความสุขในชีวิตฆราวาส. ก็มีผู้รู้ ผู้ที่เขาเรียกตัวเองเป็น ผู้รู้ ใครๆก็นับถือว่าเป็น ผู้รู้ เขาคัดค้านว่าทําไม่ได้ :
จะทําหน้าที่ฆราวาสกับทําหน้าที่ของพระอริยสาวกเพื่อไปนิพพานพร้อมกันนั้นทําไม่ได้ หรือจะพูดว่า เป็นเศรษฐีพร้อมๆกันกับจะเป็นพระอริยบุคคลด้วยนั้น มันเป็นไม่ได้,
เขาเป็นไม่ได้ ถ้าขืนไปทําก็เหมือนกับว่าเอาขนมปังมาทาเนยทั้งสองหน้า มันก็เลอะเทอะหมด ไม่มีที่จับ. นี่ก็ยังมีความเห็นอย่างนี้ คัดค้านอย่างนี้ แม้ในใจกลางพระนคร ก็พูดเรื่องนี้ ซึ่งก็พูดที่คุรุสภา.
…. เอาละ, ขอให้เข้าใจกันเสียทีว่า แม้ในปัจจุบันนี้ก็ยังมีผู้เชื่อว่า ฆราวาสจะประพฤติธรรมะเพื่อความเป็นพระอริยะไม่ได้ หรือไม่สมควร,
ฆราวาสจะก้มหน้าก้มตาเป็นฆราวาสเหมือนกับควายไถนาไปเรื่อยๆก็แล้วกัน; อย่ามาเผยอให้สูงขึ้นมาถึงเรื่องของ ธรรมะนี้เลย.
…. อาตมาบอกว่าไม่ได้หมายความอย่างนั้น : ไม่ได้หมายความว่าขนมปังแผ่นเดียวทาเนยสองหน้า แต่ต้องการจะให้หมายความเหมือนกับแซนวิชที่มีขนมปังประกบสองข้าง, แต่เป็นขนมปังคนละชนิดกัน; อย่างนี้ไม่ดีกว่าหรือ แซนวิชที่มีเนื้อ อาหารอยู่ตรงกลาง แล้วมีขนมปังประกบสองด้าน; ทั้งสองด้านนั้นไม่เหมือนกัน ด้านหนึ่งเป็นอย่างหนึ่ง, อีกด้านหนึ่งเป็นอีกอย่างหนึ่ง แล้วมันคงจะดีกว่าที่เหมือนกันมั๊ง
…. นี่การที่ฆราวาสเราทําหน้าที่ฆราวาส เหมือนควายไถนา ทนทรมานมันก็ทําสิ; แต่อีกทางหนึ่งรู้จักทําจิตใจไม่ให้เป็นทุกข์ คือมีธรรมะของพระอริยเจ้า ประกอบกํากับอยู่อย่างเพียงพอ,
นั้นก็ทําด้วยซี่ นี่ชีวิตนี้มันถูกประกบไว้ด้วยหน้าที่พร้อมกันไป ๒ อย่าง คือหน้าที่จะเลี้ยงชีวิต อย่างชาวบ้าน อย่างฆราวาส นี้ก็ทําไป, หน้าที่ที่จะ บรรเทากิเลส บรรเทาความร้อน หรือดับไฟ ลดแรงไฟเสีย นั้นก็ทําไป;
ก็จะเป็นฆราวาสที่เป็นอริยสาวกของพระพุทธเจ้า มีธรรมะ ประพฤติธรรมะ ประกอบอยู่ด้วยธรรมะ แล้วก็มีความทุกข์น้อย เป็นฆราวาสที่ดี
เดี๋ยวนี้มันไม่ยอมรับมติอันนี้ จะให้ฆราวาสเป็นฆราวาส แล้วก็ยังแถมชักจูงกันว่า “ป่วยการ” สมัยนี้ไม่มีการบรรลุมรรคผลอะไรแล้ว อย่าไปพูด อย่าไปหวัง เรื่องการบรรลุมรรคผลอะไรเลย ทําไร่ไถนาไปให้สบายดีกว่า อย่างนี้ก็มี.”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายประจำวันเสาร์ แห่งภาควิสาขบูชา ปี ๒๕๒๗ ครั้งที่ ๑๒ เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๒๗ หัวข้อเรื่อง “พุทธธรรมประยุกต์ในระดับชาวบ้านทั่วไป” จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่มชื่อว่า “พุทธธรรมประยุกต์” หน้า ๓๔๐ - ๓๔๒