การถือศีลของพุทธศาสนิกชนนั้น เป็นการถือศีลตามสถานะเท่านั้น (5, 8, 10, 227 ข้อ) (แล้วแต่ว่าใครกำลังอยู่ในสถานะอะไร)
แม้จะบวชเป็นพระสงฆ์ ถือศีล 227 ข้อ โดยที่ศีลไม่ขาดเลย ตลอดระยะเวลา 100ปี
ก็จะเป็นเพียงแค่ "สมมติสงฆ์" ไปตลอดเท่านั้น ถ้ายังตัดละกิเลสสังโยชน์ได้ไม่ครบ 3 ข้อแรก (พระโสดาบัน)
ศีล เป็นเพียงแค่เครื่องตีกรอบความประพฤติของคนไว้เฉยๆ ไม่ได้หมายความว่าจิตใจของคนผู้นั้น จะสะอาดมากตามจำนวนข้อศีลที่ถืออยู่
(จิตจะสะอาดมากเท่าไร ให้ดูที่การตัดละกิเลสสังโยชน์10 เป็นสำคัญ ว่าตัดละได้กี่ข้อ) (ถ้าไม่สนใจการตัดละกิเลส จะถือศีลซักล้านข้อ ก็เท่านั้น)
ถ้าเป็นพระสงฆ์ ก็ start ที่ศีล 227
ถ้าเป็นฆราวาส ก็ start ที่ศีล 5
(ใครจะถึงนิพพานก่อนกัน ขึ้นอยู่ที่ความสะอาดของจิต ไม่ได้เกี่ยวกับว่า ใครจะบวชเป็นพระ หรือไม่บวชเป็นพระ และก็ไม่ได้เกี่ยวกับว่าเป็นเพศใด)
(ฆราวาสเมื่อบรรลุธรรมเป็นพระอริยะเจ้าในขั้นต้นแล้ว(พระโสดาบัน) ก็จะพอใจการถือครองศีลที่มากข้อยิ่งๆขึ้นไปเรื่อยๆเอง จนบรรลุธรรม)
ความเป็นพระอริยะเจ้านั้น "
สูงดูต่ำได้ แต่ต่ำดูสูงไม่ได้" (คุณจะต้องมีคุณธรรมที่สูงกว่า หรือระดับเดียวกัน คุณถึงจะดูรู้ผู้อื่นได้)
วิธีการดูว่าใคร "อาจจะ" บรรลุธรรมในขั้นใด ก็สังเกตดูได้จาก....
1.อย่างแรกให้ดูด้วย
เจโตปริยญาณ (ถ้าคุณมี ดูได้สะดวกกว่าอย่างอื่น วิธีนี้จึงเป็นวิธีแรก)
เจโตปริยญาณ ก็คือ ทิพจักขุญาณ นั่นเอง รู้วาระน้ำจิตของคนอื่น ดูกระแสจิตเขาสุขหรือเขาทุกข์ เขาสะอาดหรือเขาสกปรก
เขาเข้าถึงธรรมได้แค่ไหน เขามีฌานสมาธิระดับไหน อันนี้เรารู้ได้ (จริงๆแล้วมีไว้เพื่อดูจิตของตนเองเป็นหลัก เอาไว้ดูเพื่อตัดละกิเลส)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ดูจิต มีกิเลสหรือไม่มีกิเลส สกปรกมากหรือน้อย
จิตของ ปุถุชน คนที่หนาแน่นไปด้วยกิเลส ก็เป็นจิตที่มีสีเนื้อ เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก ไม่สะอาดไม่ผ่องใส
จิตของคนที่ได้ ปฐมฌาน จะมีอาการเหมือนแก้วเคลือบ ปฐมฌานละเอียด เป็นเนื้อแก้วลึกลงไปประมาณสัก 1/4
จิตของคนที่ได้ ฌาน 2 จะเป็นแก้วลึกลงไป ประมาณ 2/4
จิตของคนที่ได้ ฌาน 3 ละเอียด จะเป็นแก้วทั้งดวง มีแกนเล็ก ๆ อยู่ตรงกลาง
จิตของคนที่ได้ ฌาน 4 จะเป็นแก้วทั้งดวงสะอาดมาก แต่ทั้งหมดนี้ไม่มีประกาย
จิตของ พระโสดาบัน จะเป็นประกายเข้าไปประมาณ 1/4
จิตของ พระสกิทาคามี จะเป็นประกายเข้าไปประมาณ 2/4
จิตของ พระอนาคามี จะเป็นประกายทั้งดวงจะมีแกนข้างใน
ถ้าจิตของ พระอรหันต์ จะเป็นดาวทั้งดวงไม่มีแกนเลย
อันนี้เป็นสภาพของ การดูจิต ที่มีกิเลสหรือไม่มีกิเลส สกปรกมากหรือสกปรกน้อย
เพราะฉนั้น พอได้ยินชื่อคน หรือว่ารู้เรื่องราวของคน เห็นหน้าคนให้ดูจิตก่อน
อย่าไปดูหน้าดูตา ฟังเสียง อันนี้ไม่แน่นอน คนมีกิเลสอย่างพวกเรา ๆ โกหกได้ แต่ว่าจิตของคนโกหกไม่ได้
ดูความสุขความทุกข์ของจิต
คนมีทุกข์มาก จิตสีดำมาก มีทุกข์น้อย จิตสีดำน้อย จางลงไป
ถ้าคนมีความสุขเพราะอามิสมาก จิตจะมีสีแดงมาก หากคนที่มีความสุขจากอามิสน้อย จิตมีสีแดงน้อย
แต่คนมีจิตสบายๆ ไม่กระทบกระทั่งกับอารมณ์ดีหรือไม่ดี จิตเป็นสุขมีจิตสีขาว
อันนี้เป็นจิตของปุถุชนคนธรรมดา
2.แต่ถ้าคุณไม่มีเจโตปริยญาณ คุณก็
ดูด้วยปัญญาความรู้ และ การเข้าถึงธรรม
(ผู้ที่มีคุณธรรมสูงกว่า จะผ่านการเข้าถึงธรรมในระดับล่างมาแล้ว จึงสามารถรู้ขั้นตอนการเข้าถึงธรรมของผู้ที่มีคุณธรรมต่ำกว่าได้)
(แต่ระดับภูมิความรู้ และความเป็นพระอริยะเจ้าของคุณ จะต้องสูงกว่าคนๆนั้น หรือเท่าๆกับคนๆนั้น คุณถึงจะดูรู้ผู้อื่นได้) (สูงดูต่ำได้ แต่ต่ำดูสูงไม่ได้)
พระโสดาบัน ไม่สามารถรู้วาระจิต และภูมิความรู้ของ พระสกิทาคามี
พระสกิทาคามี ไม่สามารถรู้วาระจิต และภูมิความรู้ของ พระอนาคามี
พระอนาคามี ไม่สามารถรู้วาระจิต และภูมิความรู้ของ พระอรหันต์
แต่ถ้าคุณไม่ได้เป็นพระอริยะเจ้าซักระดับเลย จึงไม่มีภูมิความรู้ของพระอริยะเจ้าไปตรวจสอบเทียบเคียงใคร
ก็ให้ดูว่าคำสอนหรือคำพูดของคนๆนั้น ว่าตรงตามพระไตรปิฎกแค่ไหน?
ถ้ายังมีความผิดพลาดสูง โอกาสที่เขาจะยังไม่ได้เป็นพระอริยะเจ้า ก็ย่อมที่จะสูงตามไปด้วย
3.แต่ถ้าคุณไม่สามารถดูวาระจิตและภูมิความรู้ของพระอริยะเจ้าได้ (เพราะว่าคุณอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า)
ก็ให้ดูที่ "
การเข้าถึงความเป็นพระอริยะเจ้า" (หรือ ดูว่าเขา
อาจจะตัดละกิเลสสังโยชน์ได้กี่ข้อ?)

คนมีธรรมะจากประสบการณ์จริง ต่างจากคนที่มีธรรมะจากการท่องจำ ก็ตรงที่คนที่มีธรรมะจากประสบการณ์จริง ก็จะมีการปฏิบัติที่ได้ผลจริงด้วย
แต่คนที่อ่านมาก ก็อาจจะไปเอาความรู้และประสบการณ์ในการเข้าถึงธรรม และสภาวะธรรมจากการปฏิบัติของคนอื่น มาบรรยายให้คุณฟังก็ได้
(เพราะสมัยนี้มีการจดบันทึกมาก และสามารถเข้าถึงข้อมูลกันได้ง่ายๆในเนต คนที่อ่านมาก-รู้มาก อาจจะไม่ใช่คนที่ปฏิบัติได้จริง)
เพราะฉนั้น "การบรรยายความรู้ได้" จึงอาจจะไม่ใช่ตัวบ่งบอกว่าคนๆนั้นมีธรรมะจากประสบการณ์จริง หรือ เขาเข้าถึงความเป็นพระอริยะเจ้าแล้ว
(เพราะเขาอาจจะแค่จำมาพูดเฉยๆ)
เพราะฉนั้น การที่จะดูว่าคนๆนั้น
อาจจะเข้าถึงธรรมได้ในระดับไหน? หรือ
อาจจะเป็นพระอริยะเจ้าในระดับใดอยู่?
ก็ให้ดูว่าเขาตัดละกิเลสสังโยชน์ได้ครบกี่ข้อ? อยู่ในเกณฑ์ของพระอริยะเจ้าในระดับใดอยู่? (3ข้อ, 5ข้อ, 10ข้อ หรือไม่ได้เลยซักข้อ)
หรือยังมีข้อไหนที่เขายังทำไม่ได้อยู่ หรือ ยังปฏิบัติตนผิดทางของผู้ที่ตัดละกิเลสสังโยชน์ในข้อนั้นๆอยู่อย่างชัดเจน
(เช่น ยังกินเหล้าอยู่ แต่บอกว่ามีศีล5บริสุทธิ์ ก็เป็นไปไม่ได้ หรือ ยังนอนกับภรรยาอยู่ แต่บอกว่าเป็นพระอนาคามีแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้)
ในเมื่อเรามีภูมิความรู้แค่ปุถุชนอ่านตำรา เราย่อมดูว่าใครเป็นพระอริยะเจ้าในระดับใดบ้างไม่ได้ (เพราะเราต่ำกว่าเขา)
แต่เราสามารถใช้การดูแบบเทียบเคียง ดูว่าใคร "
อาจจะไม่ใช่" พระอริยะเจ้าของจริงในระดับนั้นๆได้
เพราะฉนั้น เริ่มต้นให้ดูที่
ความเด็ดขาดในการถือศีล ของคนๆนั้นว่า "
มีศีล5บริสุทธิ์แค่ไหน?" และ "
มีความมั่นคงในพระรัตนตรัยแค่ไหน?"
(ยังมีการปรามาสพระรัตนตรัยอยู่หรือไม่? ยังมีความลังเลในคุณของพระรัตนตรัยอยู่หรือไม่?)
เพราะพระโสดาบันและพระสกิทาคามี เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ มีอธิศีล เคร่งครัดในศีลอย่างยิ่ง และไม่ลังเลสงสัยในคุณของพระรัตนตรัย
ถ้าคนๆนั้นพูดบรรยายเรื่องธรรมะได้มาก แต่ยังถือศีล5ไม่บริสุทธิ์ หรือยังมีการปรามาสพระรัตนตรัยอยู่ ก็สรุปได้เลยว่า คงยังไม่ถึงพระโสดาบันแน่
แต่ถ้าคนๆนั้นมีคุณสมบัติของพระโสดาบันและพระสกิทาคามีครบถ้วน และพูดบรรยายเรื่องธรรมะได้มาก
แต่ไม่ได้ถือศีล8อย่างเด็ดขาด ยังนอนกับเมียอยู่ หรือยังตัดกามฉันทะ และปฏิฆะ ยังไม่ได้เด็ดขาด ก็สรุปได้เลยว่า คงยังไม่ถึงพระอนาคามีแน่
(เพราะพระอนาคามี ตัดกาม ตัดโกรธ ได้อย่างเด็ดขาด พอใจการถือครองศีล8โดยปกติ โดยที่ไม่มีใครบังคับ)
และเมื่อมาถึงการดูระดับพระอรหันต์ (
ปกติข้อนี้ดูไม่ได้ เพราะคนที่ดูได้จะต้องเป็นพระอรหันต์ด้วยกันขึ้นไปเท่านั้น)
แต่ก็มีข้อสังเกตในการดูแบบอ้อมๆ แบบเทียบเคียงได้
เพราะในสังโยชน์5ข้อสุดท้ายที่จะต้องตัดละ จะมีอยู่ตัวหนึ่งที่บ่งบอกว่าคนๆนั้นยังไม่ถึง
6. รูปราคะ (หลงในรูปฌาน)
7. อรูปราคะ (หลงในอรูปฌาน)
8. มานะ (ความถือตัวถือตน คิดว่าเราสูงกว่าเขา เราเสมอเขา เราต่ำกว่าเขา)
9. อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่านของจิต)
10.อวิชชา (ความไม่รู้ หรือ รู้ไม่ครบ เกี่ยวกับอริยสัจ)
สังโยชน์5ข้อสุดท้ายนี้ ข้อที่ยังมีความข้องเกี่ยวกับผู้อื่นอยู่(นอกจากจิตของตนเอง) ก็คือข้อที่8 "
มานะ"
เป็นสังโยชน์ที่ยังมีความเกี่ยวข้องกับผู้อื่นอยู่เล็กน้อย(แต่อยู่ลึกมากในจิต) (สังโยชน์เขียนเรียงกันตามลำดับความยากในการตัดละ)
เมื่อคนๆนั้นยังตัดละความถือตัวถือตนลงไม่ได้อย่างเด็ดขาดหมดจด
จริตการโต้ตอบและการแสดงออกว่ายังตัดละข้อนี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด ก็ยังสามารถโผล่ออกมาให้ผู้อื่นสังเกตเห็นได้อยู่ (ยังถือตัว)
เพราะฉนั้นถ้าคนๆนั้นมีคุณสมบัติของพระอนาคามีครบถ้วน และพูดบรรยายเรื่องธรรมะได้มาก
แม้จะถือศีล8โดยปกติ แต่ถ้าเขายังมีการแสดงออกว่ายังถือตัวถือตนว่าสูงกว่าผู้อื่น หรือว่าเท่ากับผู้อื่นอยุ่ (ก็แสดงว่ายังมี "มานะ" อยู่ในจิต)
ก็สรุปได้เลยว่า คงยังไม่ถึงพระอรหันต์แน่
ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อเอาไว้เป็นหลักในการดูคุณธรรมของคนแต่ละคนแบบเทียบเคียง ยังเป็นการคาดเดาแบบคร่าวๆเท่านั้น (
คาดเดาไว้ในใจก็พอ)
เพราะว่าคนธรรมดาๆ จะไม่อาจที่จะรู้คุณธรรมของผู้ที่มีระดับจิตที่สูงกว่าได้ จึงทำได้แค่คาดเดา "สูงดูต่ำได้ แต่ต่ำดูสูงไม่ได้"
และถึงจะมีผู้ใดที่มีคุณธรรมสูงกว่าจนสามารถที่จะดูคุณธรรมของผู้ที่อยู่ระดับต่ำกว่าตนเองได้ก็ตาม แต่ก็มักจะไม่พูดออกมา
เพราะกลัวว่าผู้อื่นจะหาว่าเป็นการอวดอุตริมนุสธรรม หรือ กลัวว่าผู้อื่นจะมาเผลอปรามาสตน
(การบอกคุณธรรมที่ตัวเองได้บรรลุแล้ว แก่ผู้ที่มีศีลต่ำกว่า เป็นเรื่องที่ต้องระวัง)
แต่เมื่อฆราวาสบรรลุอรหัตผล เป็นพระอรหันต์ในเพศฆราวาสแล้ว จะอยู่ได้ไม่เกิน1วัน
(เพราะฉนั้น จึงไม่มีฆราวาสผู้ใดพยากรณ์ว่าผู้ใดบ้างเป็นพระอรหันต์ให้เราฟัง เพราะผู้ที่บรรลุธรรมแล้วจะสำรวมวาจาในการพูดกับคนที่มีศีลต่ำกว่า)
เพราะถ้าพูดให้ผู้อื่นฟังแล้วเขาไม่เชื่อ แล้วคนอื่นๆหรือเพื่อนๆเกิดด่าปรามาสฆราวาสที่บรรลุอรหันต์ คนเหล่านั้นจะตกนรกกันเป็นทิวแถว
ฆราวาสที่บรรลุอรหันต์ จะอยู่ได้เพียงแค่วันเดียว เพราะร่างกายของคนธรรมดาๆไม่สามารถที่จะรองรับคุณวิเศษของความเป็นอรหันต์ได้
(ถ้าอยากจะอยู่ต่อ จะต้องบวชเป็นพระสงฆ์ถือศีล227ข้อ ถึงจะอยู่ต่อได้จนครบอายุขัยของตนเอง)
เมื่อบรรลุธรรมจบกิจแล้ว กิจที่จะทำต่อจึงไม่มี จึงอยู่ได้แค่วันเดียว ก็จะมีเหตุให้ต้องตายภายในวันนั้น (กรรมจัดสรร)
เพราะฉนั้นวิธีการสังเกตดูว่าผู้ใด
น่าจะเป็นพระอริยะเจ้าในขั้นใด ก็ให้ใช้หลักสังโยชน์เป็นตัวสังเกต
(ใครตัดละสังโยชน์ไ้ด้ "เด็ดขาด" เท่าไร กี่ข้อก็ถึงขั้นนั้น) (ย้ำว่าต้อง "
เด็ดขาด" เท่านั้น) ถ้ายังมีอารมณ์กลับไป-กลับมา นั่นแสดงว่ายังไม่ได้ในข้อนั้น
ส่วนเวลาจะดูว่าพระสงฆ์รูปใด "อาจจะ" บรรลุธรรมถึงพระอรหันต์หรือไม่ ก็ให้ดูว่าพระสงฆ์รูปนั้น ท่านเทศน์สอนถึงนิพพานหรือไม่
ถ้าท่านเทศน์สอนถึงนิพพาน ก็แสดงว่าท่านถึงระดับนั้นแล้ว (
แต่ทั้งศีลและข้อวัตรปฏิบัติในฐานะของพระสงฆ์ของท่านจะต้องเพียบพร้อมหมดแล้ว)
เพราะพระอริยะเจ้าจะเคร่งครัดในพระธรรมวินัย จะระมัดระวังการพูดในคุณธรรมที่ตัวเองไม่มี ถ้าท่านเทศน์สอนถึงนิพพาน ก็แสดงว่าท่านถึงนิพพาน
วิธีการสังเกตหรือเทียบเคียง ดูว่าใคร "อาจจะ" บรรลุธรรมในขั้นใด ก็สังเกตดูได้จากเรื่องพวกนี้ (วิธีคาดเดา)
ส่วนการพยากรณ์ว่าผู้ใดบรรลุอรหัตผล เป็นพระอรหันต์ในพระพุทธศาสนา มีเพียงพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ทำได้
และพระสงฆ์มีพระวินัยห้ามเอาไว้เรื่องการอวดอุตริมนุสธรรม ถึงผู้ใดรู้ก็จะไม่สามารถพูดออกมาตรงๆได้ (เราจึงมักจะได้ยินแบบอ้อมๆแทน)
ส่วนฆราวาสเมื่อบรรลุธรรม ก็จะอยู่ได้เพียงแค่วันเดียว และจะสำรวมวาจาในการพูดจากับคนที่มีศีลต่ำกว่า เพราะกลัวว่าผู้อื่นจะตกนรกเพราะปรามาส
เพราะฉนั้น การพยากรณ์ว่าผู้ใดเป็นพระอรหันต์จึงไม่มี จึงมีแต่คำว่า "คาดว่า" หรือ "เชื่อว่า" ท่านเป็น "
พระทองคำ" แล้ว
บทความเรื่อง วิธีการดูว่าใคร "อาจจะ" บรรลุธรรมในขั้นใด?
การถือศีลของพุทธศาสนิกชนนั้น เป็นการถือศีลตามสถานะเท่านั้น (5, 8, 10, 227 ข้อ) (แล้วแต่ว่าใครกำลังอยู่ในสถานะอะไร)
แม้จะบวชเป็นพระสงฆ์ ถือศีล 227 ข้อ โดยที่ศีลไม่ขาดเลย ตลอดระยะเวลา 100ปี
ก็จะเป็นเพียงแค่ "สมมติสงฆ์" ไปตลอดเท่านั้น ถ้ายังตัดละกิเลสสังโยชน์ได้ไม่ครบ 3 ข้อแรก (พระโสดาบัน)
ศีล เป็นเพียงแค่เครื่องตีกรอบความประพฤติของคนไว้เฉยๆ ไม่ได้หมายความว่าจิตใจของคนผู้นั้น จะสะอาดมากตามจำนวนข้อศีลที่ถืออยู่
(จิตจะสะอาดมากเท่าไร ให้ดูที่การตัดละกิเลสสังโยชน์10 เป็นสำคัญ ว่าตัดละได้กี่ข้อ) (ถ้าไม่สนใจการตัดละกิเลส จะถือศีลซักล้านข้อ ก็เท่านั้น)
ถ้าเป็นพระสงฆ์ ก็ start ที่ศีล 227
ถ้าเป็นฆราวาส ก็ start ที่ศีล 5
(ใครจะถึงนิพพานก่อนกัน ขึ้นอยู่ที่ความสะอาดของจิต ไม่ได้เกี่ยวกับว่า ใครจะบวชเป็นพระ หรือไม่บวชเป็นพระ และก็ไม่ได้เกี่ยวกับว่าเป็นเพศใด)
(ฆราวาสเมื่อบรรลุธรรมเป็นพระอริยะเจ้าในขั้นต้นแล้ว(พระโสดาบัน) ก็จะพอใจการถือครองศีลที่มากข้อยิ่งๆขึ้นไปเรื่อยๆเอง จนบรรลุธรรม)
ความเป็นพระอริยะเจ้านั้น "สูงดูต่ำได้ แต่ต่ำดูสูงไม่ได้" (คุณจะต้องมีคุณธรรมที่สูงกว่า หรือระดับเดียวกัน คุณถึงจะดูรู้ผู้อื่นได้)
วิธีการดูว่าใคร "อาจจะ" บรรลุธรรมในขั้นใด ก็สังเกตดูได้จาก....
1.อย่างแรกให้ดูด้วยเจโตปริยญาณ (ถ้าคุณมี ดูได้สะดวกกว่าอย่างอื่น วิธีนี้จึงเป็นวิธีแรก)
เจโตปริยญาณ ก็คือ ทิพจักขุญาณ นั่นเอง รู้วาระน้ำจิตของคนอื่น ดูกระแสจิตเขาสุขหรือเขาทุกข์ เขาสะอาดหรือเขาสกปรก
เขาเข้าถึงธรรมได้แค่ไหน เขามีฌานสมาธิระดับไหน อันนี้เรารู้ได้ (จริงๆแล้วมีไว้เพื่อดูจิตของตนเองเป็นหลัก เอาไว้ดูเพื่อตัดละกิเลส)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
2.แต่ถ้าคุณไม่มีเจโตปริยญาณ คุณก็ ดูด้วยปัญญาความรู้ และ การเข้าถึงธรรม
(ผู้ที่มีคุณธรรมสูงกว่า จะผ่านการเข้าถึงธรรมในระดับล่างมาแล้ว จึงสามารถรู้ขั้นตอนการเข้าถึงธรรมของผู้ที่มีคุณธรรมต่ำกว่าได้)
(แต่ระดับภูมิความรู้ และความเป็นพระอริยะเจ้าของคุณ จะต้องสูงกว่าคนๆนั้น หรือเท่าๆกับคนๆนั้น คุณถึงจะดูรู้ผู้อื่นได้) (สูงดูต่ำได้ แต่ต่ำดูสูงไม่ได้)
พระโสดาบัน ไม่สามารถรู้วาระจิต และภูมิความรู้ของ พระสกิทาคามี
พระสกิทาคามี ไม่สามารถรู้วาระจิต และภูมิความรู้ของ พระอนาคามี
พระอนาคามี ไม่สามารถรู้วาระจิต และภูมิความรู้ของ พระอรหันต์
แต่ถ้าคุณไม่ได้เป็นพระอริยะเจ้าซักระดับเลย จึงไม่มีภูมิความรู้ของพระอริยะเจ้าไปตรวจสอบเทียบเคียงใคร
ก็ให้ดูว่าคำสอนหรือคำพูดของคนๆนั้น ว่าตรงตามพระไตรปิฎกแค่ไหน?
ถ้ายังมีความผิดพลาดสูง โอกาสที่เขาจะยังไม่ได้เป็นพระอริยะเจ้า ก็ย่อมที่จะสูงตามไปด้วย
3.แต่ถ้าคุณไม่สามารถดูวาระจิตและภูมิความรู้ของพระอริยะเจ้าได้ (เพราะว่าคุณอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า)
ก็ให้ดูที่ "การเข้าถึงความเป็นพระอริยะเจ้า" (หรือ ดูว่าเขาอาจจะตัดละกิเลสสังโยชน์ได้กี่ข้อ?)
คนมีธรรมะจากประสบการณ์จริง ต่างจากคนที่มีธรรมะจากการท่องจำ ก็ตรงที่คนที่มีธรรมะจากประสบการณ์จริง ก็จะมีการปฏิบัติที่ได้ผลจริงด้วย
แต่คนที่อ่านมาก ก็อาจจะไปเอาความรู้และประสบการณ์ในการเข้าถึงธรรม และสภาวะธรรมจากการปฏิบัติของคนอื่น มาบรรยายให้คุณฟังก็ได้
(เพราะสมัยนี้มีการจดบันทึกมาก และสามารถเข้าถึงข้อมูลกันได้ง่ายๆในเนต คนที่อ่านมาก-รู้มาก อาจจะไม่ใช่คนที่ปฏิบัติได้จริง)
เพราะฉนั้น "การบรรยายความรู้ได้" จึงอาจจะไม่ใช่ตัวบ่งบอกว่าคนๆนั้นมีธรรมะจากประสบการณ์จริง หรือ เขาเข้าถึงความเป็นพระอริยะเจ้าแล้ว
(เพราะเขาอาจจะแค่จำมาพูดเฉยๆ)
เพราะฉนั้น การที่จะดูว่าคนๆนั้นอาจจะเข้าถึงธรรมได้ในระดับไหน? หรืออาจจะเป็นพระอริยะเจ้าในระดับใดอยู่?
ก็ให้ดูว่าเขาตัดละกิเลสสังโยชน์ได้ครบกี่ข้อ? อยู่ในเกณฑ์ของพระอริยะเจ้าในระดับใดอยู่? (3ข้อ, 5ข้อ, 10ข้อ หรือไม่ได้เลยซักข้อ)
หรือยังมีข้อไหนที่เขายังทำไม่ได้อยู่ หรือ ยังปฏิบัติตนผิดทางของผู้ที่ตัดละกิเลสสังโยชน์ในข้อนั้นๆอยู่อย่างชัดเจน
(เช่น ยังกินเหล้าอยู่ แต่บอกว่ามีศีล5บริสุทธิ์ ก็เป็นไปไม่ได้ หรือ ยังนอนกับภรรยาอยู่ แต่บอกว่าเป็นพระอนาคามีแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้)
ในเมื่อเรามีภูมิความรู้แค่ปุถุชนอ่านตำรา เราย่อมดูว่าใครเป็นพระอริยะเจ้าในระดับใดบ้างไม่ได้ (เพราะเราต่ำกว่าเขา)
แต่เราสามารถใช้การดูแบบเทียบเคียง ดูว่าใคร "อาจจะไม่ใช่" พระอริยะเจ้าของจริงในระดับนั้นๆได้
เพราะฉนั้น เริ่มต้นให้ดูที่ ความเด็ดขาดในการถือศีล ของคนๆนั้นว่า "มีศีล5บริสุทธิ์แค่ไหน?" และ "มีความมั่นคงในพระรัตนตรัยแค่ไหน?"
(ยังมีการปรามาสพระรัตนตรัยอยู่หรือไม่? ยังมีความลังเลในคุณของพระรัตนตรัยอยู่หรือไม่?)
เพราะพระโสดาบันและพระสกิทาคามี เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ มีอธิศีล เคร่งครัดในศีลอย่างยิ่ง และไม่ลังเลสงสัยในคุณของพระรัตนตรัย
ถ้าคนๆนั้นพูดบรรยายเรื่องธรรมะได้มาก แต่ยังถือศีล5ไม่บริสุทธิ์ หรือยังมีการปรามาสพระรัตนตรัยอยู่ ก็สรุปได้เลยว่า คงยังไม่ถึงพระโสดาบันแน่
แต่ถ้าคนๆนั้นมีคุณสมบัติของพระโสดาบันและพระสกิทาคามีครบถ้วน และพูดบรรยายเรื่องธรรมะได้มาก
แต่ไม่ได้ถือศีล8อย่างเด็ดขาด ยังนอนกับเมียอยู่ หรือยังตัดกามฉันทะ และปฏิฆะ ยังไม่ได้เด็ดขาด ก็สรุปได้เลยว่า คงยังไม่ถึงพระอนาคามีแน่
(เพราะพระอนาคามี ตัดกาม ตัดโกรธ ได้อย่างเด็ดขาด พอใจการถือครองศีล8โดยปกติ โดยที่ไม่มีใครบังคับ)
และเมื่อมาถึงการดูระดับพระอรหันต์ (ปกติข้อนี้ดูไม่ได้ เพราะคนที่ดูได้จะต้องเป็นพระอรหันต์ด้วยกันขึ้นไปเท่านั้น)
แต่ก็มีข้อสังเกตในการดูแบบอ้อมๆ แบบเทียบเคียงได้
เพราะในสังโยชน์5ข้อสุดท้ายที่จะต้องตัดละ จะมีอยู่ตัวหนึ่งที่บ่งบอกว่าคนๆนั้นยังไม่ถึง
6. รูปราคะ (หลงในรูปฌาน)
7. อรูปราคะ (หลงในอรูปฌาน)
8. มานะ (ความถือตัวถือตน คิดว่าเราสูงกว่าเขา เราเสมอเขา เราต่ำกว่าเขา)
9. อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่านของจิต)
10.อวิชชา (ความไม่รู้ หรือ รู้ไม่ครบ เกี่ยวกับอริยสัจ)
สังโยชน์5ข้อสุดท้ายนี้ ข้อที่ยังมีความข้องเกี่ยวกับผู้อื่นอยู่(นอกจากจิตของตนเอง) ก็คือข้อที่8 "มานะ"
เป็นสังโยชน์ที่ยังมีความเกี่ยวข้องกับผู้อื่นอยู่เล็กน้อย(แต่อยู่ลึกมากในจิต) (สังโยชน์เขียนเรียงกันตามลำดับความยากในการตัดละ)
เมื่อคนๆนั้นยังตัดละความถือตัวถือตนลงไม่ได้อย่างเด็ดขาดหมดจด
จริตการโต้ตอบและการแสดงออกว่ายังตัดละข้อนี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด ก็ยังสามารถโผล่ออกมาให้ผู้อื่นสังเกตเห็นได้อยู่ (ยังถือตัว)
เพราะฉนั้นถ้าคนๆนั้นมีคุณสมบัติของพระอนาคามีครบถ้วน และพูดบรรยายเรื่องธรรมะได้มาก
แม้จะถือศีล8โดยปกติ แต่ถ้าเขายังมีการแสดงออกว่ายังถือตัวถือตนว่าสูงกว่าผู้อื่น หรือว่าเท่ากับผู้อื่นอยุ่ (ก็แสดงว่ายังมี "มานะ" อยู่ในจิต)
ก็สรุปได้เลยว่า คงยังไม่ถึงพระอรหันต์แน่
ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อเอาไว้เป็นหลักในการดูคุณธรรมของคนแต่ละคนแบบเทียบเคียง ยังเป็นการคาดเดาแบบคร่าวๆเท่านั้น (คาดเดาไว้ในใจก็พอ)
เพราะว่าคนธรรมดาๆ จะไม่อาจที่จะรู้คุณธรรมของผู้ที่มีระดับจิตที่สูงกว่าได้ จึงทำได้แค่คาดเดา "สูงดูต่ำได้ แต่ต่ำดูสูงไม่ได้"
และถึงจะมีผู้ใดที่มีคุณธรรมสูงกว่าจนสามารถที่จะดูคุณธรรมของผู้ที่อยู่ระดับต่ำกว่าตนเองได้ก็ตาม แต่ก็มักจะไม่พูดออกมา
เพราะกลัวว่าผู้อื่นจะหาว่าเป็นการอวดอุตริมนุสธรรม หรือ กลัวว่าผู้อื่นจะมาเผลอปรามาสตน
(การบอกคุณธรรมที่ตัวเองได้บรรลุแล้ว แก่ผู้ที่มีศีลต่ำกว่า เป็นเรื่องที่ต้องระวัง)
แต่เมื่อฆราวาสบรรลุอรหัตผล เป็นพระอรหันต์ในเพศฆราวาสแล้ว จะอยู่ได้ไม่เกิน1วัน
(เพราะฉนั้น จึงไม่มีฆราวาสผู้ใดพยากรณ์ว่าผู้ใดบ้างเป็นพระอรหันต์ให้เราฟัง เพราะผู้ที่บรรลุธรรมแล้วจะสำรวมวาจาในการพูดกับคนที่มีศีลต่ำกว่า)
เพราะถ้าพูดให้ผู้อื่นฟังแล้วเขาไม่เชื่อ แล้วคนอื่นๆหรือเพื่อนๆเกิดด่าปรามาสฆราวาสที่บรรลุอรหันต์ คนเหล่านั้นจะตกนรกกันเป็นทิวแถว
ฆราวาสที่บรรลุอรหันต์ จะอยู่ได้เพียงแค่วันเดียว เพราะร่างกายของคนธรรมดาๆไม่สามารถที่จะรองรับคุณวิเศษของความเป็นอรหันต์ได้
(ถ้าอยากจะอยู่ต่อ จะต้องบวชเป็นพระสงฆ์ถือศีล227ข้อ ถึงจะอยู่ต่อได้จนครบอายุขัยของตนเอง)
เมื่อบรรลุธรรมจบกิจแล้ว กิจที่จะทำต่อจึงไม่มี จึงอยู่ได้แค่วันเดียว ก็จะมีเหตุให้ต้องตายภายในวันนั้น (กรรมจัดสรร)
เพราะฉนั้นวิธีการสังเกตดูว่าผู้ใดน่าจะเป็นพระอริยะเจ้าในขั้นใด ก็ให้ใช้หลักสังโยชน์เป็นตัวสังเกต
(ใครตัดละสังโยชน์ไ้ด้ "เด็ดขาด" เท่าไร กี่ข้อก็ถึงขั้นนั้น) (ย้ำว่าต้อง "เด็ดขาด" เท่านั้น) ถ้ายังมีอารมณ์กลับไป-กลับมา นั่นแสดงว่ายังไม่ได้ในข้อนั้น
ส่วนเวลาจะดูว่าพระสงฆ์รูปใด "อาจจะ" บรรลุธรรมถึงพระอรหันต์หรือไม่ ก็ให้ดูว่าพระสงฆ์รูปนั้น ท่านเทศน์สอนถึงนิพพานหรือไม่
ถ้าท่านเทศน์สอนถึงนิพพาน ก็แสดงว่าท่านถึงระดับนั้นแล้ว (แต่ทั้งศีลและข้อวัตรปฏิบัติในฐานะของพระสงฆ์ของท่านจะต้องเพียบพร้อมหมดแล้ว)
เพราะพระอริยะเจ้าจะเคร่งครัดในพระธรรมวินัย จะระมัดระวังการพูดในคุณธรรมที่ตัวเองไม่มี ถ้าท่านเทศน์สอนถึงนิพพาน ก็แสดงว่าท่านถึงนิพพาน
วิธีการสังเกตหรือเทียบเคียง ดูว่าใคร "อาจจะ" บรรลุธรรมในขั้นใด ก็สังเกตดูได้จากเรื่องพวกนี้ (วิธีคาดเดา)
ส่วนการพยากรณ์ว่าผู้ใดบรรลุอรหัตผล เป็นพระอรหันต์ในพระพุทธศาสนา มีเพียงพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ทำได้
และพระสงฆ์มีพระวินัยห้ามเอาไว้เรื่องการอวดอุตริมนุสธรรม ถึงผู้ใดรู้ก็จะไม่สามารถพูดออกมาตรงๆได้ (เราจึงมักจะได้ยินแบบอ้อมๆแทน)
ส่วนฆราวาสเมื่อบรรลุธรรม ก็จะอยู่ได้เพียงแค่วันเดียว และจะสำรวมวาจาในการพูดจากับคนที่มีศีลต่ำกว่า เพราะกลัวว่าผู้อื่นจะตกนรกเพราะปรามาส
เพราะฉนั้น การพยากรณ์ว่าผู้ใดเป็นพระอรหันต์จึงไม่มี จึงมีแต่คำว่า "คาดว่า" หรือ "เชื่อว่า" ท่านเป็น "พระทองคำ" แล้ว