== Our Souls at Night (2017) ขอแค่ให้ผ่านค่ำคืนอันแสนเหงานี้ไปด้วยกัน.. ==



ในคืนที่เงียบสงบคืนนึงของเมืองเล็กๆ ในรัฐโคโลราโด..
ขณะที่หลุยส์ วอเตอร์สกำลังอ่านหนังสือพิมพ์ ดูโทรทัศน์อยู่คนเดียวไปเรื่อยในบ้านของตน
ทันใดนั้นก็มีแขกไม่ได้รับเชิญปรากฏตัวที่หน้าบ้าน เป็นแอดดี้ มัวร์ เพื่อนบ้านนั่นเอง..
ก่อนที่หลุยส์จะได้ถามไถ่ว่าเธอมีธุระอะไร แอดดี้ก็ได้พูดตรงประเด็นในทันทีว่า
เธออยากให้หลุยส์ไปนอนเป็นเพื่อนเธอที่บ้านได้มั้ย...?



หลุยส์ อึ้งและตั้งตัวไม่ทันกับคำขอร้องที่แปลกประหลาดเช่นนี้
หากแต่เมื่อได้ฟังคำอธิบายของแอดดี้ เขาจึงขอเวลาใคร่ครวญ
และเมื่อเขาคิดได้ หลุยส์จึงโทรหาแอดดี้ เพื่อตอบคำถามในสิ่งที่เธอต้องการ....



Our Souls at Night เป็นภาพยนตร์โรแมนติกดราม่า ผลงานการกำกับของ Ritesh Batra
เขียนบทโดย Scott Neustadter และ Michael H. Weber สร้างจากนวนิยายชื่อเดียวกันของ Kent Haruf
นำแสดงโดยซูเปอร์สตาร์ดาวค้างฟ้าอย่างโรเบิร์ต เรดฟอร์ด และ เจน ฟอนดา สองดาราระดับตำนาน
ทั้งคู่เล่นหนังเรื่องนี้ก็อายุเข้าไป 81 และ 79 ปีตามลำดับ (ปัจจุบัน 88 และ 86) แต่ยังดูแข็งแรงและมีเสน่ห์อย่างมากทีเดียว



ถ้าคุณเคยประทับใจกับความรักของคนสองคนที่ไม่เคยเห็นหน้า แต่มีสื่อสัมพันธ์ที่ดูแล้วไม่น่าเชื่อ
อย่างกล่องข้าวที่ส่งผิดที่ และจดหมายฉบับน้อยๆ ที่ทำให้เราอมยิ้มหวานมาแล้วอย่าง The Lunchbox (2013)
นี่ก็จะเป็นภาพยนตร์รักที่น่าประทับใจไม่แพ้กันอีกเรื่องจากผลงานผู้กำกับคนเดียวกันอย่าง Ritesh Batra
ผู้กำกับหญิงคนเก่งชาวอินเดีย มาในเรื่องนี้เธอเลือกเล่าเรื่องความสัมพันธ์ของคนสูงวัย
ที่อยากทำตามหัวใจของตัวเองบ้างในช่วงเวลาที่ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงอีกแล้ว



เปิดเรื่องมาอย่างที่ผมพิมพ์ไว้ตอนต้น คือดูแล้วก็ เห้ย.. คุณป้าแกก็ว่ากันตรงๆเลยอ่ะ
ถามพระเอกของเราว่าสะดวกมานอนที่บ้านเธอด้วยมั้ย.. ถ้าเป็นสาวๆ ข้างบ้านมาถามแบบนี้กับคุณบ้าง คุณจะทำยังไงดีล่ะ
เป็นผมก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน (คือใจอ่ะไปแน่นอน แต่กลัวว่ามีอะไรรออยู่ข้างหน้าหรือเปล่านี่สิ แหะๆ)
แต่มันไม่ใช่เรื่องราวแนว 18+ แน่ๆ เพราะนี่คือ 80+



พอทราบเหตุผลที่แอดดี้ ขอกับหลุยส์ ผมก็เลยเข้าใจและอินในทันที.. ว่าทำไมเธอถึงต้องขอร้องฝ่ายชายไปเช่นนั้น..
และนี่ล่ะครับคือประเด็นสำคัญที่ Ritesh ต้องการจะสื่อสารให้ผู้ชมได้รับรู้
ว่าความเหงา.. ความว้าเหว่มันทรมานและโหดร้ายมากเพียงใด



รูปแบบครอบครัวของสังคมตะวันตกและตะวันออกต่างกัน.. ฝั่งของบ้านเรามักอยู่เป็นครอบครัวใหญ่ญาติพี่น้องอยู่ใกล้ชิด
ถึงแม้ว่าจะแยกตัวออกไปแต่งงานมีครอบครัวอย่างไรเสีย เราก็จะดูพ่อแม่ที่แก่ชราให้อยู่ด้วยกัน
ก็ใกล้ๆกัน เผื่อมีเหตุฉุกเฉินอะไร การอยู่ใกล้กันไว้ก่อนก็เป็นเรื่องอุ่นใจและเป็นทางเลือกที่ดี



ขณะที่สังคมตะวันตก พ่อแม่ที่เลี้ยงดูลูกเมื่อถึงวัยที่พวกเขาเติบโตขึ้น พวกเขาก็ต้องปล่อยให้ลูกๆได้ไปใช้ชีวิตของตัวเอง
ไปมีอิสระทำในสิ่งที่พวกเขาต้องการจะทำในเส้นทางที่เลือกเดิน โดยพ่อแม่จะคอยชี้แนะอยู่ห่างๆ ไม่ไปก้าวก่ายอะไรอีก
จนกว่าจะได้พบกันอีกครั้งเมื่อถึงเทศกาลสำคัญๆ (อันนี้ก็เหมือนกับบ้านเรา)



ช่วงเวลาที่คนสูงวัยอยู่บ้านคนเดียวนี่ล่ะครับ ถ้าหากว่าพวกเขามีเพื่อนหรือมีสังคมมีกิจกรรมอะไรให้ทำก็คงไม่เป็นไร
แต่ก็มีอีกหลายคนเลือกจะทำอะไรคนเดียว กินข้าว ดูโทรทัศน์ นั่งรับลมบนระเบียงหน้าบ้านมองใครต่อใครที่เดินผ่านมา
อาจจะเจอคนรู้จักแวะหรือทักทายเพื่อพูดคุย



ปลายทางของของมนุษย์คือความเสื่อมทางร่างกายจิตใจก่อนที่เราจะจากโลกใบนี้
ความชราเป็นเหมือนประตูบานท้ายๆที่เราต้องเปิดและผ่านมันไปให้ได้
และตัวแปรนอกเหนือจากสุขภาพที่ทรุดโทรมลงไปทุกขณะนั่นก็คือ ความเหงาในจิตใจ
ความเดียวดายเมื่อคนที่เรารู้จัก คนที่เรารักได้จากเราไปทีละคนทีละคน
โลกที่เราคุ้นเคยมาตลอด อาจจะกลายเป็นโลกที่เราไม่รู้จักอีกต่อไป (เพราะไม่มีใครที่รู้จักเราหลงเหลืออยู่)



โลกในอนาคตจะเป็นแบบนี้ สังคมที่คนปัจจุบันไม่นิยมแต่งงานมีครอบครัว
ต่างฝ่ายครองตัวเป็นโสด ไม่อยากมีคู่ชีวิต ไม่อยากมีลูก เพราะสภาพสังคมที่ย่ำแย่
เศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเลี้ยงดูชีวิตที่กำลังจะเกิดมา ทำให้คนส่วนมากตัดสินใจอยู่ตัวคนเดียวสบายใจกว่า
ในวัยหนุ่มสาวเรายังมีไฟ เรามีพลัง มีแรงมีความหวัง เราเชื่อมั่นว่าเราจะอยู่ได้...เพราะเวลายังอยู่เคียงข้างเรา..



แต่เข็มนาฬิกามันหมุนไปเร็วนัก.. วันคืนผ่านไปไว เผลอแป๊บเดียวปีนึงก็ผ่านไปแล้ว
เมื่อเราเริ่มอายุมากขึ้น ไฟที่เคยมี เรี่ยวแรงต่างๆ เริ่มถดถอย จะทำอะไรก็เริ่มลำบากไม่เหมือนเดิม
ใจยังไหวแต่กายไม่ไปตามที่ใจคิด.. เวลาที่เคยอยู่เคียงข้าง แต่ละวินาทีเริ่มไปเร็วขึ้นทุกที
กลับกลายเป็นเหมือนศัตรูอีกจ้องจะลิดรอนลมหายใจของเราไปทีละนิด...



Our Souls at Night เป็นหนังที่สะท้อนให้เห็นถึงอนาคตของพวกเราคนทำงานในวันข้างหน้าอย่างแท้จริง
คนเราไม่ได้กลัวตาย แต่เรากลัวความเหงา เหงาจนแทบขาดใจ
ในวันที่ไม่รู้จะหันหน้าไปพูดคุยกับใครได้ ไม่มีอะไรให้คนอย่างเราทำอีก..
ความรู้สึกเปล่าเปลี่ยว เหมือนว่าตัวเองไร้ค่า เฝ้ารอวันที่ต้องจากโลกไปโดยที่ไม่มีใครจดจำ
มันคงเป็นอะไรที่โหดร้ายต่อความรู้สึกยิ่งนัก หากว่าลมหายใจสุดท้ายไม่มีใครอยู่ข้างกายสักคน...



ขอเพียงแค่ให้นอนหลับตา..ผ่านค่ำคืนที่แสนเหงาในแต่ละวันไปให้ได้
และมันคงจะดีไม่น้อยหากว่าเมื่อเราลืมตาตื่นขึ้นมา พบว่ามีคนที่เรารักอยู่เคียงข้าง..
ในบั้นปลายของชีวิตคงไม่มีอะไรที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว...



ตามที่บอกไว้ครับ ว่าผมจะลงรีวิวเรื่องของคุณปู่นี่คือเรื่องรองสุดท้ายที่แกนำแสดง
ผมเขียนไว้เมื่อปลายปี 2022 ก่อนปู่เสีย 3 ปี....
จากนี้ไปทุกอย่างก็จะอยู่ในความทรงจำตลอดไป
จะระลึกถึงปู่เสมอ...
Robert Redford 1936-2025


เพราะหนังมันฝังใจ


=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่