Xerox บริษัทที่ล้มเหลว แม้ทำคอมพิวเตอร์ ได้ก่อน Apple /โดย ลงทุนแมน

พูดถึง xerox นึกถึงการถ่ายเอกสาร
ในไทยตอนรวมกิจการกับ Fuji เป็น FujiXerox คุ้นกับชื่อนี้   

https://www.facebook.com/share/p/1ENndP4dw4/?mibextid=wwXIfr


ถ้าถามว่า อะไรทำให้บริษัทนั้นล้มเหลวมากที่สุด คำตอบก็คือ จังหวะเวลาและสถานที่

สองเรื่องนี้ต้องไปด้วยกัน บริษัทนั้นถึงจะไปต่อได้
แต่ถ้าไม่ ก็เตรียมเจอความล้มเหลวสูง

เหมือนกับ Xerox บริษัทที่ผลิตสินค้าออกมาถูกที่
แต่ดันผิดเวลา จนพลาดโอกาสนั้นไปอย่างน่าเสียดาย และทำให้มูลค่าบริษัทเหลือแค่ 16,000 ล้านบาทเท่านั้น จากที่เคยมีมูลค่าสูงถึง 1,200,000 ล้านบาท..  

Xerox ผลิตสินค้าอะไรให้ถูกที่ แต่ดันผิดเวลา ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง

คำว่า Xerox คงอยู่ในพจนานุกรมสมองของคนไทยทุกคน
เพราะใช้แทนคำว่า ถ่ายเอกสาร จนเราคุ้นปากกันอย่างดี

ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะ Xerox คือบริษัทอเมริกัน
ที่ผลิตเครื่องถ่ายเอกสารออกมาตั้งแต่ปี 1960 จนทุกสำนักงานก็ต้องมีเครื่องนี้อย่างน้อย 1 เครื่องแน่นอน

ตอนนั้น เรียกได้ว่า Xerox ปฏิวัติวงการคัดลอกเอกสารเลยทีเดียว เพราะก่อนหน้าจะมีเครื่องถ่ายเอกสาร เรายังใช้สิ่งที่เรียกว่า กระดาษคาร์บอนอยู่

คนยุคก่อน ๆ อาจจะทัน แต่ถ้าใครไม่ทัน พูดให้เห็นภาพคือ มันทำหน้าที่เหมือนกระดาษแผ่นตรงกลาง ที่มีกระดาษแผ่นบนและกระดาษแผ่นล่าง

พอเราเขียนอะไรก็ตามบนกระดาษแผ่นบน ข้อความก็จะไปอยู่บนกระดาษแผ่นล่าง เพราะมีกระดาษคาร์บอนเป็นตัวส่งผ่านข้อความนั่นเอง

แต่พอมีเครื่องถ่ายเอกสาร การทำแบบนี้ก็เป็นเรื่องล้าหลังไปเลย เพราะแค่กดไม่กี่ปุ่ม เราก็ได้สำเนาเอกสารที่ต้องการในเวลาไม่นานแล้ว

ด้วยสินค้าที่พลิกโลกออฟฟิศได้ขนาดนี้ ทำให้ Xerox
รายได้โตระเบิด จาก 1,200 ล้านบาทในปี 1960 กลายเป็น 31,000 ล้านบาทในปี 1970

การที่บริษัทโตจากระดับพันล้านบาท กลายไปเป็นหมื่นล้านบาท แค่ภายในเวลา 10 ปี นี่เรียกได้ว่าไม่ธรรมดามาก ๆ
แต่ Xerox ก็รู้ดีว่า ตัวเองก็ต้องกระจายความเสี่ยงไปให้ธุรกิจอื่นด้วย เลยตั้งศูนย์วิจัยที่ชื่อ PARC ขึ้นมา เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ของตัวเอง

ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ PARC เคยวิจัยได้ออกมา และกลายเป็นสินค้าที่ถูกที่ แต่ผิดเวลา นั่นคือ คอมพิวเตอร์..

รู้ไหมว่า Xerox เคยผลิตคอมพิวเตอร์ได้ตั้งแต่ปี 1973 ก่อน Apple จะผลิตคอมพิวเตอร์ของตัวเองขาย หลังจากนั้นอีก 10 กว่าปีถัดมา

แม้จะเป็นเจ้าแรก ๆ ที่ผลิตคอมพิวเตอร์ได้ เพราะเทคโนโลยีพร้อมแล้ว แต่เวลานั้น คอมพิวเตอร์ก็ยังไม่ใช่อุปกรณ์ที่คนทั่วไปอยากใช้งานมันเหมือนทุกวันนี้

ดังนั้น Xerox จึงปล่อยโอกาสนี้ทิ้งไป ซึ่งจริง ๆ แล้ว
ก็เข้าใจได้ เพราะยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมในตอนนั้น

แต่ในช่วงปี 1980 เป็นต้นมา ยุคของคอมพิวเตอร์ก็เริ่ม
เกิดขึ้น แทนที่ Xerox จะผลิตคอมพิวเตอร์ออกมาขาย กลับตัดสินใจไม่เอาออกมาขายอยู่ดี

จนในที่สุด สตีฟ จอบส์ ที่มีโอกาสได้เห็นคอมพิวเตอร์ของ Xerox รุ่นบุกเบิก ก็เอาไอเดียนี้ไปต่อยอด กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของ Apple ที่ขายคอมพิวเตอร์ในปี 1984

Xerox ที่เริ่มรู้ตัว เลยผลิตคอมพิวเตอร์มาขาย แต่ก็มีราคาแพงเกินไป จนสู้ราคากับเจ้าอื่นไม่ได้ สุดท้ายก็ยกเลิกการผลิตคอมพิวเตอร์ออกไปแทน

ซึ่งแม้จะพลาดโอกาสในตลาดคอมพิวเตอร์ แต่ Xerox ก็ยังอยู่ได้จากเครื่องถ่ายเอกสาร ที่ทุกการถ่ายเอกสารของแต่ละออฟฟิศ กลายเป็นเงินสดเข้ากระเป๋าของตัวเอง

แต่เวลานั้นก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะในปี 1990 สัญญาณวิกฤติของบริษัทเริ่มมาถึง

ไล่ตั้งแต่อินเทอร์เน็ต ที่เปลี่ยนให้เอกสารกลายเป็นออนไลน์มากขึ้น ไปจนถึงคู่แข่งอย่าง HP และ Canon
ที่มีเครื่องถ่ายเอกสารคุณภาพดีกว่า Xerox เยอะมาก

ความท้าทายที่รุมเร้าเข้ามาทุกทิศทาง ยิ่งสูบเงินจากบริษัทมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกำไรหายไป แถม
รายได้ยังไม่โตอีกด้วย

สุดท้าย Xerox จึงล้มละลายในปี 2001 ด้วยหนี้สะสมถึง
540,000 ล้านบาท และต้องเข้าสู่ขั้นตอนการฟื้นฟูกิจการ
จนตอนนี้กลับมาได้ในปัจจุบัน

แต่ต้องแลกมาด้วยมูลค่าบริษัทที่เหลือแค่ 16,000
ล้านบาท จากเดิมที่เคยใหญ่ถึง 1,200,000 ล้านบาท ในปี 1998 หรือตอนก่อนล้มละลายราว 3 ปี

เรื่องนี้ ทำให้เราเห็นได้ชัดเจนดีว่า ไม่ว่าเทคโนโลยีจะล้ำหน้าหรือทำได้แค่ไหน แต่ถ้าผิดเวลาที่คนจะยอมรับเทคโนโลยีนั้น ความล้มเหลวก็จะเกิดขึ้นอยู่ดี

สิ่งที่เกิดขึ้นกับ Xerox ที่ผลิตคอมพิวเตอร์ได้เร็วเกินไป
เลยกลายเป็นความล้มเหลว ที่เกิดขึ้นแม้เทคโนโลยีพร้อม
แต่เวลาที่ตลาดจะพร้อมใช้เทคโนโลยี ยังมาไม่ถึง

จน Xerox พลาดโอกาสเป็นผู้นำคอมพิวเตอร์ไปอย่างน่าเสียดาย แม้จะเป็นบริษัทแรก ๆ ที่สามารถผลิตคอมพิวเตอร์มาได้ตั้งนานแล้ว..

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่