เฮลิคอปเตอร์โจมตี Mi-28 มรดกที่ถูกลืม เหตุใดจึงแทบไม่เคยบินเลย?
กำเนิดและพัฒนาการในช่วงสงครามเย็น
เฮลิคอปเตอร์ Mi-28 ถูกพัฒนาขึ้นในปลายทศวรรษ 1970 โดยสหภาพโซเวียต เพื่อเป็นเฮลิคอปเตอร์โจมตีโดยเฉพาะ ที่สามารถแข่งขันกับ AH-64 Apache ของสหรัฐฯ ได้ การออกแบบหลักของ Mi-28 เน้นที่อำนาจการยิง, ความอยู่รอดในสนามรบ และความสามารถในการทำลายยานเกราะ แม้ว่า Apache จะกลายเป็นเฮลิคอปเตอร์โจมตีหลักของโลกตะวันตก แต่เส้นทางของ Mi-28 กลับต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย ทั้งปัญหาทางการเมือง การตัดงบประมาณ และการแข่งขันกับเฮลิคอปเตอร์ Ka-50 ซึ่งเกือบทำให้โครงการต้องถูกยกเลิก
การแข่งขันกับ Ka-50 และการถูกระงับโครงการ
การพัฒนา Mi-28 เป็นผลมาจากการแข่งขันระหว่างสำนักออกแบบ Mil และ Kamov ซึ่ง Kamov เสนอเฮลิคอปเตอร์ Ka-50 Black Shark ที่ล้ำสมัยด้วยการใช้ใบพัดหลักคู่ที่หมุนสวนทางกัน (coaxial rotors) และห้องนักบินที่นั่งเดียว ซึ่งดึงดูดความสนใจของกองทัพโซเวียตมากกว่า ในปี 1984 โครงการ Mi-28 จึงถูกระงับและงบประมาณถูกโอนไปให้ Ka-50 อย่างไรก็ตาม สำนัก Mil ยังคงเดินหน้าพัฒนา Mi-28 อย่างลับ ๆ ซึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ
การฟื้นฟูโครงการและการเข้าสู่ยุคหลังโซเวียต
ความซับซ้อนของเทคโนโลยีใน Ka-50 โดยเฉพาะระบบควบคุมสำหรับนักบินคนเดียว ทำให้โครงการต้องล่าช้าออกไปอย่างมาก ทำให้ Mi-28 ซึ่งใช้แนวทางที่ธรรมดากว่าได้รับการพิจารณาอีกครั้ง โครงการจึงถูกฟื้นฟูอย่างเป็นทางการในปี 1987 และเปิดตัวสู่สายตาทั่วโลกในงาน Paris Air Show 1989 อย่างไรก็ตาม การล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991 ทำให้โครงการต้องหยุดชะงักอีกครั้ง เนื่องจากรัสเซียในยุค 1990 ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจและการเมืองอย่างหนัก
การกลับมาและการเข้าประจำการ
หลังจากที่ Vladimir Putin ขึ้นสู่อำนาจในปี 2000 เศรษฐกิจของรัสเซียเริ่มฟื้นตัว ทำให้มีงบประมาณสำหรับการพัฒนาทางทหารอีกครั้ง Mi-28 ได้รับการพัฒนาต่อยอดเป็นรุ่น Mi-28N "Night Hunter" และเริ่มเข้าสู่สายการผลิตในปี 2006 ก่อนจะประจำการอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2009 นับเป็นเวลาถึง 20 ปีหลังจากการเปิดตัวครั้งแรก
ข้อมูลจำเพาะและอำนาจการยิง
Mi-28 เป็นเฮลิคอปเตอร์ที่เน้นความอยู่รอดของลูกเรืออย่างมาก ด้วยลำตัวที่หุ้มเกราะอย่างดี (อลูมิเนียมอัลลอยด์และเซรามิก) หลังคาห้องนักบินที่ทนทานต่อกระสุน และที่นั่งที่สามารถดูดซับแรงกระแทกจากอุบัติเหตุได้ นอกจากนี้ยังติดตั้งระบบป้องกันตัวต่าง ๆ เช่น เครื่องรับสัญญาณเตือนเรดาร์ และเครื่องรบกวนอินฟราเรด
สำหรับอำนาจการยิง Mi-28 ติดตั้งปืนใหญ่อัตโนมัติ 30 มม. 2A42 ที่สามารถเคลื่อนที่ได้กว้าง พร้อมด้วยขีปนาวุธนำวิถีต่อสู้รถถัง เช่น 9M120 Ataka-V และสามารถติดตั้งจรวดไม่นำวิถีได้หลายชนิด รุ่น Mi-28NM ที่ทันสมัยกว่ายังสามารถใช้ขีปนาวุธใหม่ ๆ และมีระบบเรดาร์ N025M ที่สามารถตรวจจับเป้าหมายได้ 360°
สถิติการรบและบทสรุป
Mi-28 ถูกนำไปใช้ในสงครามกลางเมืองซีเรียเป็นครั้งแรกในปี 2016 และทำผลงานได้ดีในการโจมตีกลุ่ม ISIS แต่ก็เคยเกิดอุบัติเหตุตกหนึ่งครั้ง อย่างไรก็ตาม การใช้งานที่สำคัญที่สุดคือใน ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ที่ซึ่ง Mi-28 เผชิญกับภัยคุกคามจากระบบป้องกันภัยทางอากาศที่ทันสมัยและโดรน FPV ราคาถูกของยูเครน แม้จะมีการสูญเสียเกิดขึ้น แต่บทความสรุปว่า Mi-28 ไม่ได้มีประสิทธิภาพที่ย่ำแย่ไปกว่าเฮลิคอปเตอร์อื่น ๆ ของรัสเซียที่ใช้ในสงครามเดียวกัน ปัญหาหลักอยู่ที่ยุทธวิธีในการใช้งานมากกว่าตัวเครื่อง
เรื่องราวของ Mi-28 คือเรื่องราวของ ความอุตสาหะ มันเป็นเครื่องจักรที่สร้างขึ้นจากความจำเป็น ไม่ใช่จากการปฏิวัติเทคโนโลยี และสามารถเอาชีวิตรอดจากความวุ่นวายทางเศรษฐกิจและการเมืองมาได้ ซึ่งทำให้มันสามารถยืนหยัดเป็นส่วนสำคัญของกองทัพรัสเซียได้จนถึงปัจจุบัน
เฮลิคอปเตอร์โจมตี Mi-28 มรดกที่ถูกลืม เหตุใดจึงแทบไม่เคยบินเลย?
เฮลิคอปเตอร์ Mi-28 ถูกพัฒนาขึ้นในปลายทศวรรษ 1970 โดยสหภาพโซเวียต เพื่อเป็นเฮลิคอปเตอร์โจมตีโดยเฉพาะ ที่สามารถแข่งขันกับ AH-64 Apache ของสหรัฐฯ ได้ การออกแบบหลักของ Mi-28 เน้นที่อำนาจการยิง, ความอยู่รอดในสนามรบ และความสามารถในการทำลายยานเกราะ แม้ว่า Apache จะกลายเป็นเฮลิคอปเตอร์โจมตีหลักของโลกตะวันตก แต่เส้นทางของ Mi-28 กลับต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย ทั้งปัญหาทางการเมือง การตัดงบประมาณ และการแข่งขันกับเฮลิคอปเตอร์ Ka-50 ซึ่งเกือบทำให้โครงการต้องถูกยกเลิก
การแข่งขันกับ Ka-50 และการถูกระงับโครงการ
การพัฒนา Mi-28 เป็นผลมาจากการแข่งขันระหว่างสำนักออกแบบ Mil และ Kamov ซึ่ง Kamov เสนอเฮลิคอปเตอร์ Ka-50 Black Shark ที่ล้ำสมัยด้วยการใช้ใบพัดหลักคู่ที่หมุนสวนทางกัน (coaxial rotors) และห้องนักบินที่นั่งเดียว ซึ่งดึงดูดความสนใจของกองทัพโซเวียตมากกว่า ในปี 1984 โครงการ Mi-28 จึงถูกระงับและงบประมาณถูกโอนไปให้ Ka-50 อย่างไรก็ตาม สำนัก Mil ยังคงเดินหน้าพัฒนา Mi-28 อย่างลับ ๆ ซึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ
การฟื้นฟูโครงการและการเข้าสู่ยุคหลังโซเวียต
ความซับซ้อนของเทคโนโลยีใน Ka-50 โดยเฉพาะระบบควบคุมสำหรับนักบินคนเดียว ทำให้โครงการต้องล่าช้าออกไปอย่างมาก ทำให้ Mi-28 ซึ่งใช้แนวทางที่ธรรมดากว่าได้รับการพิจารณาอีกครั้ง โครงการจึงถูกฟื้นฟูอย่างเป็นทางการในปี 1987 และเปิดตัวสู่สายตาทั่วโลกในงาน Paris Air Show 1989 อย่างไรก็ตาม การล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991 ทำให้โครงการต้องหยุดชะงักอีกครั้ง เนื่องจากรัสเซียในยุค 1990 ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจและการเมืองอย่างหนัก
การกลับมาและการเข้าประจำการ
หลังจากที่ Vladimir Putin ขึ้นสู่อำนาจในปี 2000 เศรษฐกิจของรัสเซียเริ่มฟื้นตัว ทำให้มีงบประมาณสำหรับการพัฒนาทางทหารอีกครั้ง Mi-28 ได้รับการพัฒนาต่อยอดเป็นรุ่น Mi-28N "Night Hunter" และเริ่มเข้าสู่สายการผลิตในปี 2006 ก่อนจะประจำการอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2009 นับเป็นเวลาถึง 20 ปีหลังจากการเปิดตัวครั้งแรก
ข้อมูลจำเพาะและอำนาจการยิง
Mi-28 เป็นเฮลิคอปเตอร์ที่เน้นความอยู่รอดของลูกเรืออย่างมาก ด้วยลำตัวที่หุ้มเกราะอย่างดี (อลูมิเนียมอัลลอยด์และเซรามิก) หลังคาห้องนักบินที่ทนทานต่อกระสุน และที่นั่งที่สามารถดูดซับแรงกระแทกจากอุบัติเหตุได้ นอกจากนี้ยังติดตั้งระบบป้องกันตัวต่าง ๆ เช่น เครื่องรับสัญญาณเตือนเรดาร์ และเครื่องรบกวนอินฟราเรด
สำหรับอำนาจการยิง Mi-28 ติดตั้งปืนใหญ่อัตโนมัติ 30 มม. 2A42 ที่สามารถเคลื่อนที่ได้กว้าง พร้อมด้วยขีปนาวุธนำวิถีต่อสู้รถถัง เช่น 9M120 Ataka-V และสามารถติดตั้งจรวดไม่นำวิถีได้หลายชนิด รุ่น Mi-28NM ที่ทันสมัยกว่ายังสามารถใช้ขีปนาวุธใหม่ ๆ และมีระบบเรดาร์ N025M ที่สามารถตรวจจับเป้าหมายได้ 360°
สถิติการรบและบทสรุป
Mi-28 ถูกนำไปใช้ในสงครามกลางเมืองซีเรียเป็นครั้งแรกในปี 2016 และทำผลงานได้ดีในการโจมตีกลุ่ม ISIS แต่ก็เคยเกิดอุบัติเหตุตกหนึ่งครั้ง อย่างไรก็ตาม การใช้งานที่สำคัญที่สุดคือใน ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ที่ซึ่ง Mi-28 เผชิญกับภัยคุกคามจากระบบป้องกันภัยทางอากาศที่ทันสมัยและโดรน FPV ราคาถูกของยูเครน แม้จะมีการสูญเสียเกิดขึ้น แต่บทความสรุปว่า Mi-28 ไม่ได้มีประสิทธิภาพที่ย่ำแย่ไปกว่าเฮลิคอปเตอร์อื่น ๆ ของรัสเซียที่ใช้ในสงครามเดียวกัน ปัญหาหลักอยู่ที่ยุทธวิธีในการใช้งานมากกว่าตัวเครื่อง
เรื่องราวของ Mi-28 คือเรื่องราวของ ความอุตสาหะ มันเป็นเครื่องจักรที่สร้างขึ้นจากความจำเป็น ไม่ใช่จากการปฏิวัติเทคโนโลยี และสามารถเอาชีวิตรอดจากความวุ่นวายทางเศรษฐกิจและการเมืองมาได้ ซึ่งทำให้มันสามารถยืนหยัดเป็นส่วนสำคัญของกองทัพรัสเซียได้จนถึงปัจจุบัน