มาเลเซียยืนยัน F/A-18D Hornet ตกที่กวนตัน สาเหตุมาจากนกชน

สาเหตุของอุบัติเหตุ
กองทัพอากาศมาเลเซีย (TUDM) ยืนยันว่าอุบัติเหตุเครื่องบินขับไล่ F/A-18D Hornet ตกที่ฐานทัพอากาศกวนตันเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม มีสาเหตุจาก Bird Strike หรือการชนกับนก ไม่ใช่ความขัดข้องทางเทคนิคของเครื่องบินแต่อย่างใด
ชนิดของนก: คณะกรรมการสอบสวนระบุว่าเครื่องบินชนกับ นกกระยางม่วง (purple heron) ตัวหนึ่ง ซึ่งบินเข้าชนเครื่องยนต์ด้านซ้ายขณะที่เครื่องบินกำลังเร่งความเร็วเพื่อบินขึ้น
การยืนยันสาเหตุ: หลักฐานที่ยืนยันสาเหตุนี้ได้มาจากการสอบสวนอย่างละเอียด โดยมีการวิเคราะห์ชิ้นส่วนกระดูกของนกที่พบในเครื่องยนต์ที่เสียหาย และได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน เช่น กรมเคมี และกรมสัตว์ป่าและอุทยานแห่งชาติ (Perhilitan)
รายละเอียดเหตุการณ์
ลำดับเหตุการณ์: เครื่องบินกำลังเร่งความเร็วอยู่ที่ 146 นอต ก่อนจะไต่ระดับความสูงได้เพียง 10 เมตร นักบินทั้งสองคนจึงตัดสินใจดีดตัวออกจากเครื่องบินในระยะห่างประมาณ 50 เมตรจากตัวเครื่อง
การดีดตัว: นักบินทั้งคู่ปลอดภัยจากการดีดตัวด้วยเก้าอี้ดีดตัว Martin-Baker ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงประสิทธิภาพของระบบนี้
ผลกระทบ: หลังเกิดเหตุ กองทัพอากาศได้ระงับการบินของเครื่องบินตระกูล Hornet ทั้งหมดเพื่อตรวจสอบความปลอดภัย ก่อนจะกลับมาปฏิบัติการได้ตามปกติในภายหลัง
การปรับปรุงและบำรุงรักษาเครื่องบิน Hornet ของมาเลเซีย
แม้จะมีอายุมากกว่าสองทศวรรษ แต่เครื่องบิน F/A-18D Hornet ยังคงเป็นกำลังหลักของกองทัพอากาศมาเลเซีย เนื่องจากมีการปรับปรุงและบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่องเพื่อยืดอายุการใช้งาน
โครงการปรับปรุง (Modernization Program):
ปี 2011: ปรับปรุงระบบนำร่อง, ระบบการกำหนดเป้าหมาย และการรับรู้สถานการณ์ของนักบิน
ปี 2017: เพิ่มขีดความสามารถในการใช้อาวุธใหม่ เช่น ขีปนาวุธ AIM-9X, ระเบิดนำวิถี JDAM และพ็อดติดตามเป้าหมาย AN/ASQ-228 ATFLIR ซึ่งทำให้สามารถโจมตีเป้าหมายได้อย่างแม่นยำทั้งกลางวันและกลางคืน
โครงการบำรุงรักษาในประเทศ (Local Planned Maintenance 12 Years - LPM12Y):
ปี 2021: เริ่มโครงการบำรุงรักษาเชิงลึกในประเทศเป็นครั้งแรก เพื่อลดระยะเวลาการซ่อมบำรุงและสร้างความเชี่ยวชาญให้กับบุคลากรในประเทศ
โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างกองทัพอากาศกับบริษัท G7 Global Aerospace และ Rosebank Engineering
การเสริมศักยภาพในอนาคต:
พ็อด Sniper: มาเลเซียได้รับการอนุมัติให้ซื้อพ็อดติดตามเป้าหมาย AN/AAQ-33 Sniper ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการโจมตีระยะไกล และสามารถใช้งานร่วมกับเครื่องบิน FA-50M ที่จะได้รับในอนาคต
ขีปนาวุธ AMRAAM: ขีปนาวุธ AIM-120C-7 AMRAAM ช่วยให้เครื่องบิน Hornet ยังคงมีความสามารถในการโจมตีนอกระยะสายตา (BVR) ที่มีประสิทธิภาพ
การปรับปรุงระบบสื่อสาร: มีการปรับปรุงระบบสื่อสารและสงครามอิเล็กทรอนิกส์อย่างต่อเนื่อง
โอกาสในการขยายฝูงบิน
มาเลเซียกำลังพิจารณาจัดซื้อเครื่องบิน F/A-18C/D มือสองจาก คูเวต ซึ่งหากเป็นไปได้ จะเพิ่มจำนวนเครื่องบินในฝูงบินได้สูงสุดถึง 30 ลำ ทำให้มีฝูงบิน Hornet ลำที่สองและมีอะไหล่สำรองมากขึ้น
การจัดซื้อนี้จะช่วยให้มาเลเซียสามารถปรับปรุงเครื่องบินทั้งหมดให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และช่วยให้การฝึกอบรมบุคลากรและการจัดการข้อมูลเป็นไปอย่างราบรื่น
สรุปภาพรวม
แม้จะมีอุบัติเหตุจากการชนนก แต่เหตุการณ์นี้ก็ตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งของเครื่องบิน Hornet และความมุ่งมั่นของมาเลเซียในการลงทุนเพื่อยืดอายุการใช้งานและเพิ่มขีดความสามารถทางการรบของฝูงบินให้สูงสุด ซึ่งจะช่วยให้เครื่องบิน Hornet ยังคงมีบทบาทสำคัญในการป้องกันประเทศไปจนถึงทศวรรษ 2030 และเปิดโอกาสให้มาเลเซียมีเวลาวางแผนการจัดหาเครื่องบินขับไล่ทดแทนในอนาคต

มาเลเซียยืนยัน F/A-18D Hornet ตกที่กวนตัน สาเหตุมาจากนกชน
กองทัพอากาศมาเลเซีย (TUDM) ยืนยันว่าอุบัติเหตุเครื่องบินขับไล่ F/A-18D Hornet ตกที่ฐานทัพอากาศกวนตันเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม มีสาเหตุจาก Bird Strike หรือการชนกับนก ไม่ใช่ความขัดข้องทางเทคนิคของเครื่องบินแต่อย่างใด
ชนิดของนก: คณะกรรมการสอบสวนระบุว่าเครื่องบินชนกับ นกกระยางม่วง (purple heron) ตัวหนึ่ง ซึ่งบินเข้าชนเครื่องยนต์ด้านซ้ายขณะที่เครื่องบินกำลังเร่งความเร็วเพื่อบินขึ้น
การยืนยันสาเหตุ: หลักฐานที่ยืนยันสาเหตุนี้ได้มาจากการสอบสวนอย่างละเอียด โดยมีการวิเคราะห์ชิ้นส่วนกระดูกของนกที่พบในเครื่องยนต์ที่เสียหาย และได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน เช่น กรมเคมี และกรมสัตว์ป่าและอุทยานแห่งชาติ (Perhilitan)
รายละเอียดเหตุการณ์
ลำดับเหตุการณ์: เครื่องบินกำลังเร่งความเร็วอยู่ที่ 146 นอต ก่อนจะไต่ระดับความสูงได้เพียง 10 เมตร นักบินทั้งสองคนจึงตัดสินใจดีดตัวออกจากเครื่องบินในระยะห่างประมาณ 50 เมตรจากตัวเครื่อง
การดีดตัว: นักบินทั้งคู่ปลอดภัยจากการดีดตัวด้วยเก้าอี้ดีดตัว Martin-Baker ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงประสิทธิภาพของระบบนี้
ผลกระทบ: หลังเกิดเหตุ กองทัพอากาศได้ระงับการบินของเครื่องบินตระกูล Hornet ทั้งหมดเพื่อตรวจสอบความปลอดภัย ก่อนจะกลับมาปฏิบัติการได้ตามปกติในภายหลัง
การปรับปรุงและบำรุงรักษาเครื่องบิน Hornet ของมาเลเซีย
แม้จะมีอายุมากกว่าสองทศวรรษ แต่เครื่องบิน F/A-18D Hornet ยังคงเป็นกำลังหลักของกองทัพอากาศมาเลเซีย เนื่องจากมีการปรับปรุงและบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่องเพื่อยืดอายุการใช้งาน
โครงการปรับปรุง (Modernization Program):
ปี 2011: ปรับปรุงระบบนำร่อง, ระบบการกำหนดเป้าหมาย และการรับรู้สถานการณ์ของนักบิน
ปี 2017: เพิ่มขีดความสามารถในการใช้อาวุธใหม่ เช่น ขีปนาวุธ AIM-9X, ระเบิดนำวิถี JDAM และพ็อดติดตามเป้าหมาย AN/ASQ-228 ATFLIR ซึ่งทำให้สามารถโจมตีเป้าหมายได้อย่างแม่นยำทั้งกลางวันและกลางคืน
โครงการบำรุงรักษาในประเทศ (Local Planned Maintenance 12 Years - LPM12Y):
ปี 2021: เริ่มโครงการบำรุงรักษาเชิงลึกในประเทศเป็นครั้งแรก เพื่อลดระยะเวลาการซ่อมบำรุงและสร้างความเชี่ยวชาญให้กับบุคลากรในประเทศ
โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างกองทัพอากาศกับบริษัท G7 Global Aerospace และ Rosebank Engineering
การเสริมศักยภาพในอนาคต:
พ็อด Sniper: มาเลเซียได้รับการอนุมัติให้ซื้อพ็อดติดตามเป้าหมาย AN/AAQ-33 Sniper ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการโจมตีระยะไกล และสามารถใช้งานร่วมกับเครื่องบิน FA-50M ที่จะได้รับในอนาคต
ขีปนาวุธ AMRAAM: ขีปนาวุธ AIM-120C-7 AMRAAM ช่วยให้เครื่องบิน Hornet ยังคงมีความสามารถในการโจมตีนอกระยะสายตา (BVR) ที่มีประสิทธิภาพ
การปรับปรุงระบบสื่อสาร: มีการปรับปรุงระบบสื่อสารและสงครามอิเล็กทรอนิกส์อย่างต่อเนื่อง
โอกาสในการขยายฝูงบิน
มาเลเซียกำลังพิจารณาจัดซื้อเครื่องบิน F/A-18C/D มือสองจาก คูเวต ซึ่งหากเป็นไปได้ จะเพิ่มจำนวนเครื่องบินในฝูงบินได้สูงสุดถึง 30 ลำ ทำให้มีฝูงบิน Hornet ลำที่สองและมีอะไหล่สำรองมากขึ้น
การจัดซื้อนี้จะช่วยให้มาเลเซียสามารถปรับปรุงเครื่องบินทั้งหมดให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และช่วยให้การฝึกอบรมบุคลากรและการจัดการข้อมูลเป็นไปอย่างราบรื่น
สรุปภาพรวม
แม้จะมีอุบัติเหตุจากการชนนก แต่เหตุการณ์นี้ก็ตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งของเครื่องบิน Hornet และความมุ่งมั่นของมาเลเซียในการลงทุนเพื่อยืดอายุการใช้งานและเพิ่มขีดความสามารถทางการรบของฝูงบินให้สูงสุด ซึ่งจะช่วยให้เครื่องบิน Hornet ยังคงมีบทบาทสำคัญในการป้องกันประเทศไปจนถึงทศวรรษ 2030 และเปิดโอกาสให้มาเลเซียมีเวลาวางแผนการจัดหาเครื่องบินขับไล่ทดแทนในอนาคต