แพทย์​นัก​บินไม่กลัวตายเพราะ​อ่านหนังสือ​พระพุทธ​ทาส

กระทู้คำถาม
หมอพีเตรียมตายอย่างสงบ และหนังสือเล่มสุดท้ายที่ฝากไว้: #คู่มือมนุษย์

เรื่องราวการจากไปของ นพ.พีรวัฒน์ แพทย์หนุ่มวัย 35 ปีที่ต่อสู้กับโรคมะเร็งลำไส้จนลมหายใจสุดท้าย ได้กลายเป็นที่กล่าวถึงอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ ไม่เพียงเพราะความสามารถรอบด้านของเขา ทั้งในฐานะแพทย์ นักบิน และนักดนตรี แต่เพราะ ความสงบเย็นและความเข้าใจชีวิตที่เขาฝากไว้ให้ผู้คนได้เรียนรู้

เพื่อนของหมอเล่าว่า หมอพีเป็นคนที่มีความสามารถมากมาย และใช้ชีวิตด้วยความเรียบง่ายออกแนวธรรมะธรรมโมด้วยซ้ำ ไม่ได้ใช้ของหรูติดแบรนด์แต่อย่างใด ชีวิตของหมอพีกำลังไปได้สวยมีทั้งหน้าที่การงานที่ดี,ครอบครัวที่ดี ,มีเพื่อนและสังคมที่ดี และเพิ่งจะแต่งงานได้ไม่กี่เดือน แต่บททดสอบในชีวิตของหมอพีก็คือการที่รู้ว่าตัวเองได้เป็นมะเร็งลำไส้ระยะที่ 4 แพร่ไปตับ ในวัยแค่ 35 ปีเท่านั้นเอง

แม้ต้องเผชิญโรคร้าย หมอพีกลับไม่หวาดกลัวความตาย เขาเคยบอกกับเพื่อนและครอบครัวว่า “ความตายเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่ใช่สิ่งผิดปกติหรือผิดบาป” ความมั่นคงทางใจเช่นนี้ไม่ได้เกิดจากความเข้มแข็งเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการเข้าใจชีวิตลึกซึ้งตามแนวทางของธรรมะ

ภรรยาของคุณหมอเล่าให้ฟังว่าคุณหมอเผชิญหน้ากับความตายได้อย่างเป็นธรรมชาติและเข้าใจโลกมาก คุณหมอเป็นคนเลือกรูปหน้าศพด้วยตัวเองและเป็นคนไปจัดเตรียมของชำร่วยงานศพของตัวเองด้วยตัวเองอย่างพิถีพิถัน และมอบหมายให้ภรรยาคุณหมอบอกกับแขกที่มาทุกท่านว่าให้อ่านหนังสือที่ชื่อว่าคู่มือมนุษย์ของพระพุทธทาสภิกขุให้จบ

เมื่อมีคนถามตรงๆ ว่าหมอพีกลัวตายไหม คุณหมอบอกว่า

"ไม่กลัวตายเลย ความตายเป็นเรื่องธรรมชาติไม่ใช่เรื่องผิดบาปหรือผิดปกติ เรากลัวเพราะเราไม่เข้าใจเฉยๆ เราแค่เห็นว่าความตายเป็นเรื่องผิดปกติและไม่ควรเกิดขึ้นกับเรา แต่ถ้าเราเข้าใจมันแล้วเราจะไม่กลัวเลย"

#จุดเชื่อมโยงกับ"คู่มือมนุษย์"

หนึ่งในหนังสือที่หมอพีให้ความสำคัญมากที่สุดคือ “คู่มือมนุษย์” ผลงานของท่านพุทธทาสภิกขุ เขามักจะแนะนำคนรอบตัวให้อ่าน โดยเล่าว่า หนังสือเล่มนี้ช่วยให้ใจเบาลง เข้าใจชีวิตและความตายได้ลึกซึ้งกว่าเดิม

ในวันที่เพื่อนสูญเสียสุนัขที่เลี้ยงมากว่า 10 ปี หมอพีแม้กำลังป่วยหนัก ก็ยังโทรไปปลอบใจ พร้อมแนะนำให้อ่าน คู่มือมนุษย์ เพื่อคลายความเศร้า

ในช่วงสุดท้ายของชีวิต เขาฝากความประสงค์กับภรรยาไว้ว่า อยากให้ทุกคนได้อ่านหนังสือเล่มนี้จนจบ

ภรรยาคุณหมอ ฝากหนังสือ คู่มือมนุษย์ให้ download ได้ที่นี่  https://drive.google.com/file/d/1DzJwvzTLgCDNA2RBmDLUoWorPjmCZJoZ/

สำหรับหมอพี หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นเพียงตำรา แต่เป็น เข็มทิศทางจิตใจ ที่ช่วยให้มองความตายอย่างเข้าใจ ไม่ใช่ด้วยความกลัว

#ความหมายที่ยังคงอยู่

สิ่งที่หมอพีทำให้เห็นคือ ตัวอย่างของคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้ยึดติดกับวัตถุหรูหรา แต่เลือกที่จะใช้ธรรมะเป็นหลักนำทางชีวิตและความตาย เขาแสดงให้เห็นว่า การตายไม่ใช่ความพ่ายแพ้ หากแต่เป็นอีกขั้นของธรรมชาติที่ควรยอมรับด้วยใจสงบ

เรื่องราวของหมอพีทำให้เห็นว่า หากเรารู้จักชีวิตอย่างที่เป็น เข้าใจธรรมชาติของความตายตามที่ “คู่มือมนุษย์” ชี้ไว้ เราจะไม่เพียงมีความกล้าในการเผชิญความสูญเสีย แต่ยังมี ความสงบในใจ ที่จะก้าวต่อไปอย่างไม่ประมาท

และมรดกที่เขาฝากไว้กับสังคม ไม่ใช่เพียงชื่อเสียงหรือผลงาน แต่คือการชี้ทางให้ผู้คนได้รู้จัก “คู่มือมนุษย์” ของพุทธทาสภิกขุ หนังสือที่อธิบายธรรมชาติของชีวิตและความตายอย่างตรงไปตรงมา และสอนให้เราอยู่กับความจริงด้วยใจที่เบาสบาย

ขอบคุณข้อมูลจาก Kittikhun Can Tortainchai
.
.
.
อ.พุทธทาส ได้กล่าวถึงความเข้าใจเรื่องความตาย และทุกข์ที่เกิดจากความตายไว้หลายครั้ง สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้

"แม้ว่าความเกิด  ความแก่  ความเจ็บ  ความตายจะมีอยู่  แต่ถ้าไม่ได้ยึดว่าเป็น "ของกู" มันก็ไม่เป็นทุกข์อะไร  

ความเกิด  ความแก่  ความเจ็บ  ความตายที่ถูกยึดมั่นด้วยอุปาทานเท่านั้นจึงจะเป็นทุกข์  คือ ไปยึดแค่ว่าเป็นความเกิดของเรา เป็นความเจ็บของเรา  เป็นความแก่ของเรา  เป็นความตายของเรา มันจึงจะเป็นทุกข์  

ถ้าไม่มีอุปาทานไปยึดอย่างนั้น  ความเกิด  ความแก่  ความเจ็บ  ความตายนั้นก็ไม่เป็นทุกข์  เป็นเรื่องเพียงธรรมชาติเฉยๆ ไป

#มีแต่ธรรมชาติไม่มีอะไรหรือใครตาย

การตายของร่างกายนั้น จะมีปัญหาก็ต่อเมื่อไอ้ตัวกูมันโง่ ไปเอามาเป็นความตายของกู ถ้ามันให้เป็นความตายของธรรมชาติ ตามธรรมชาติ อย่าเอาความตายมาเป็นของกู มันก็ไม่มีความทุกข์หรอก และมันก็ "ไม่มีความตาย" เสียด้วย

กิริยาที่ร่างกายมันแตกดับ มันเป็นตามธรรมชาติที่มันขาดเหตุขาดปัจจัย นี้ร่างกายมันก็ตาย มันไม่ได้เป็นทุกข์อยู่ที่ความตายนะคุณ

คุณฟังดูดี ๆ นะว่า

"ความทุกข์ไม่ได้มันเป็นความทุกข์อยู่ที่ตัวความตาย
มันเป็นทุกข์อยู่ที่มันโง่ไปเอาความตายมาเป็นของกู"

ถ้ามันยังมีความรู้สึกว่า ตัวกู ตัวกู อยู่เพียงไรมันก็ยังโง่อยู่เพียงนั้นแหละ มันต้องถือว่าไอ้ความรู้สึกว่าตัวกู ตัวกูนั้นน่ะ คือ บรมโง่ ก็คือตัวของบรมโง่ แล้วมันก็ไปเอาความตายมาเป็นของกู ก็ได้เป็นทุกข์ ได้กลัวตาย ไม่อยากตายแล้วก็เป็นทุกข์เพราะความตาย ไอ้ตัวกูที่เป็นความโง่นี้มันก็ไปเอามาหมดแหละ

เอาความเกิดมาเป็นของกู ทั้งที่ความเกิดนั้นไม่ใช่ของกู มันเป็นกระแสตามธรรมชาติอิทัปปัจจยตาปรุงแต่ง ความแก่ก็มาเป็นของกู ความเจ็บก็เป็นของกู ซึ่งมันเป็นกระแสอิทัปปัจจยตาตามธรรมชาติปรุงแต่ง ที่จะมีความรู้สึกว่าตัวกูโง่ถึงขนาดนั้นแล้ว ไอ้ตัวกูโง่มันก็ไปเอามาเป็นของกู เอามาเป็นความเกิดของกู ความแก่ของกู ความเจ็บของกู ความตายของกู แล้วมันก็ได้เป็นทุกข์ไง

ถ้ามีตัวตนอยู่หรือเกิด หรือแก่ หรือเจ็บ หรือตาย นั่นเป็นความโง่ เป็นมิจฉาทิฐิ หรือว่าไปเป็นลัทธิอื่นซึ่งมิใช่พุทธศาสนา ลัทธิอื่นเขาถือว่ามีตัวตนที่อยู่ อยู่ประจำจนตลอดชีวิต พอชีวิตดับไอ้ตัวตนนั้นก็ไปหาร่างใหม่ ไปเกิดใหม่ แล้วเป็นอย่างเดียวกันอีก จนกว่าชีวิตมันจะดับ ไอ้ตัวตนนั้นก็ไปหาร่างใหม่ เกิดใหม่ อย่างนี้เรื่อยไป นั้นคือวัฏสงสาร, ตามความหมายในศาสนาอื่นซึ่งมิใช่พุทธศาสนา เพราะในพุทธศาสนา จะไม่มีตัวตนเช่นนั้น

อย่างคำว่าเกิดนี่มันเกิดแห่งความคิดว่าตัวกูเท่านั้นเอง ไม่ได้มีตัวตนอะไรเป็นผู้เกิด รู้จักแยกให้เด็ดขาดกันออกไปสิ

#ตายก่อนตาย

ให้ตัวตนมันตาย...ตายก่อนร่างกายตายได้ยาวเท่าไหร่ มันก็มีกำไรมากเท่านั้น ก็จะได้เสวยความสุข ชีวิตจะเป็นความสุขยืนยาว แต่เดี๋ยวนี้พวกเราก็โง่จนตาย "มีตัวตนไปจนตาย" จนดับจิตอันสุดท้ายเข้าโลง มันก็ยังมีตัวตน มันก็เลยไม่มีระยะเวลาที่ว่างจากตัวตน

ตายก่อนตาย ให้ตัวตนตายเสียก่อนแต่ร่างกายตาย คนนั้นจะได้อยู่กับพระนิพพานตลอดชีวิตที่ยังเหลืออยู่ ชีวิตที่ตัวกูตายหมดแล้ว เหลืออยู่แต่ชีวิตที่ปราศจากไอ้อุปาทานว่าตัวกู ก็เย็น เป็นชีวิตเย็น อยู่กับนิพพาน ไปจนกว่าร่างกายมันจะแตกดับ แล้วก็พอกันที ปัญหามันหมดแล้ว

พุทธทาสภิกขุ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่