
“อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 ยังเผชิญแรงกดดันต่อเนื่อง โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้อันดับนักท่องเที่ยวสูงสุด 3 กลุ่มยังคงเป็นนักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย อินเดีย และรัสเซีย แต่ภาพรวมทั้งปีที่ประเมินไว้ที่ 35 ล้านคน ยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิดอยู่มาก” ภัทรา บุศราวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ กล่าว
.
อีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจท่องเที่ยวคือการลดลงของนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักที่เคยสร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศ ในปีนี้ พบว่า นักท่องเที่ยวชาวจีนส่วนหนึ่งได้เปลี่ยนไปเที่ยวที่ประเทศเวียดนาม เนื่องจากเวียดนามสามารถดึงดูดความสนใจด้วยการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่ทันสมัยและมีเอกลักษณ์ ทำให้เห็นถึงความจำเป็นที่ประเทศไทยจะต้องปรับตัวเพื่อเพิ่มขีดการแข่งขันให้ประเทศ
.
ในช่วงเวลาเดียวกัน ซีอีโอ สายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ยังได้เสนอถึงรัฐบาลชุดใหม่ว่า ประเทศไทยควรเร่งสร้างแลนด์มาร์กท่องเที่ยวใหม่ๆ ควบคู่กับการฟื้นฟูความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย เนื่องจากปัญหาดังกล่าวส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติ พร้อมเสนอให้ภาครัฐอัดฉีดงบประมาณระยะสั้นเพื่อกระตุ้นภาคท่องเที่ยว
.
ภัทรามองว่าโครงการที่เคยทำ เช่น เที่ยวคนละครึ่งยังไม่เพียงพอ จึงควรพิจารณามาตรการใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การมอบสิทธิประโยชน์แก่ผู้ซื้อตั๋วเครื่องบินจากต่างประเทศ คล้ายๆ กับมาตรการของญี่ปุ่น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายและสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยฝั่งไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ก็พร้อมสนับสนุนนโยบายดังกล่าว
.
ด้านผลการดำเนินงาน ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ยอมรับว่าในไตรมาส 3 ยอดจำหน่ายตั๋วเครื่องบินปรับลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเส้นทางญี่ปุ่นที่ได้รับผลกระทบจากข่าวลือเรื่องภัยพิบัติใหญ่ ทำให้นักท่องเที่ยวกังวลใจ แต่ประเมินว่าในไตรมาส 4 สถานการณ์จะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี และค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจะช่วยกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวไทย
.
เพื่อรับมือกับความต้องการที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น สายการบินได้ประกาศเปิดตัว 3 เส้นทางบินใหม่ ได้แก่ กรุงเทพฯ–เซ็นได ประเทศญี่ปุ่น (2 เที่ยวบินต่อสัปดาห์) กรุงเทพฯ–อัลมาตี ประเทศคาซัคสถาน (4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์) และกรุงเทพฯ–ริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย (4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์) โดยเชื่อว่าเส้นทางใหม่จะได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะตลาดญี่ปุ่นที่มีนักท่องเที่ยวไทยเดินทางมากกว่า 1 ล้านคนต่อปี
.
ส่วนตลาดใหม่ อย่างเมืองอัลมาตี ในคาซัคสถาน มองว่าเป็นจุดหมายที่มีศักยภาพ ด้วยภูมิอากาศเย็นสบายและสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น ขณะที่เมืองริยาด เมืองหลวงของซาอุดีอาระเบีย เป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุน ซึ่งจะเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญทั้งด้านการท่องเที่ยวและธุรกิจในอนาคต
.
ทั้งหมดนี้ถือเป็นการตอกย้ำกลยุทธ์ของไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ที่มุ่งขยายเส้นทางบินไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะตะวันออกกลาง ซึ่งเหมาะกับการให้บริการด้วยเครื่องบินแอร์บัส A330 โดยในไตรมาส 4 บริษัทมีแผนรับเครื่องบินใหม่เพิ่มอีก 2 ลำ ทำให้สิ้นปีนี้จะมีฝูงบินรวม 11 ลำ พร้อมรองรับเส้นทางบินใหม่และเสริมความแข็งแกร่งให้กับ 10 เส้นทางบินปัจจุบัน อาทิ โตเกียว, โอซาก้า, นาโงยะ, ซัปโปโร, โซล, เดลี และเซี่ยงไฮ้
.
บริษัทตั้งเป้าว่าการเปิดเส้นทางบินใหม่จะช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวและการใช้จ่ายในประเทศไทยช่วงปลายปี พร้อมประเมินว่าผลประกอบการสิ้นปี 2568 จะมีกำไรสุทธิราว 75 ล้านบาท และยังมีเป้าหมายใหญ่ในการขยายเส้นทางบินตรงสู่ยุโรป โดยอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ เพราะเส้นทางยุโรปยังมีข้อจำกัดด้านเส้นทางบิน แต่เบื้องต้นคาดว่ากลางปี 2569 จะเปิดเส้นทางบินยุโรป 2 เส้นทาง
.
พร้อมกันนี้ยังได้อัปเดตความคืบหน้าแผนฟื้นฟูกิจการ ว่า ปัจจุบันอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างภายใน คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ ก่อนเดินหน้าเพิ่มทุนอีก 1,000 ล้านบาทในปี 2569 ซึ่งจะช่วยเสริมสภาพคล่องและเตรียมความพร้อมออกจากแผนฟื้นฟูกิจการกลางปีหน้า
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1621442062469803
ท่องเที่ยวปีนี้คือพังมาก
ท่องเที่ยวจีนหนีไปเวียดนาม
“อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 ยังเผชิญแรงกดดันต่อเนื่อง โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้อันดับนักท่องเที่ยวสูงสุด 3 กลุ่มยังคงเป็นนักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย อินเดีย และรัสเซีย แต่ภาพรวมทั้งปีที่ประเมินไว้ที่ 35 ล้านคน ยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิดอยู่มาก” ภัทรา บุศราวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ กล่าว
.
อีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจท่องเที่ยวคือการลดลงของนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักที่เคยสร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศ ในปีนี้ พบว่า นักท่องเที่ยวชาวจีนส่วนหนึ่งได้เปลี่ยนไปเที่ยวที่ประเทศเวียดนาม เนื่องจากเวียดนามสามารถดึงดูดความสนใจด้วยการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่ทันสมัยและมีเอกลักษณ์ ทำให้เห็นถึงความจำเป็นที่ประเทศไทยจะต้องปรับตัวเพื่อเพิ่มขีดการแข่งขันให้ประเทศ
.
ในช่วงเวลาเดียวกัน ซีอีโอ สายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ยังได้เสนอถึงรัฐบาลชุดใหม่ว่า ประเทศไทยควรเร่งสร้างแลนด์มาร์กท่องเที่ยวใหม่ๆ ควบคู่กับการฟื้นฟูความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย เนื่องจากปัญหาดังกล่าวส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติ พร้อมเสนอให้ภาครัฐอัดฉีดงบประมาณระยะสั้นเพื่อกระตุ้นภาคท่องเที่ยว
.
ภัทรามองว่าโครงการที่เคยทำ เช่น เที่ยวคนละครึ่งยังไม่เพียงพอ จึงควรพิจารณามาตรการใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การมอบสิทธิประโยชน์แก่ผู้ซื้อตั๋วเครื่องบินจากต่างประเทศ คล้ายๆ กับมาตรการของญี่ปุ่น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายและสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยฝั่งไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ก็พร้อมสนับสนุนนโยบายดังกล่าว
.
ด้านผลการดำเนินงาน ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ยอมรับว่าในไตรมาส 3 ยอดจำหน่ายตั๋วเครื่องบินปรับลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเส้นทางญี่ปุ่นที่ได้รับผลกระทบจากข่าวลือเรื่องภัยพิบัติใหญ่ ทำให้นักท่องเที่ยวกังวลใจ แต่ประเมินว่าในไตรมาส 4 สถานการณ์จะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี และค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจะช่วยกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวไทย
.
เพื่อรับมือกับความต้องการที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น สายการบินได้ประกาศเปิดตัว 3 เส้นทางบินใหม่ ได้แก่ กรุงเทพฯ–เซ็นได ประเทศญี่ปุ่น (2 เที่ยวบินต่อสัปดาห์) กรุงเทพฯ–อัลมาตี ประเทศคาซัคสถาน (4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์) และกรุงเทพฯ–ริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย (4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์) โดยเชื่อว่าเส้นทางใหม่จะได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะตลาดญี่ปุ่นที่มีนักท่องเที่ยวไทยเดินทางมากกว่า 1 ล้านคนต่อปี
.
ส่วนตลาดใหม่ อย่างเมืองอัลมาตี ในคาซัคสถาน มองว่าเป็นจุดหมายที่มีศักยภาพ ด้วยภูมิอากาศเย็นสบายและสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น ขณะที่เมืองริยาด เมืองหลวงของซาอุดีอาระเบีย เป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุน ซึ่งจะเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญทั้งด้านการท่องเที่ยวและธุรกิจในอนาคต
.
ทั้งหมดนี้ถือเป็นการตอกย้ำกลยุทธ์ของไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ที่มุ่งขยายเส้นทางบินไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะตะวันออกกลาง ซึ่งเหมาะกับการให้บริการด้วยเครื่องบินแอร์บัส A330 โดยในไตรมาส 4 บริษัทมีแผนรับเครื่องบินใหม่เพิ่มอีก 2 ลำ ทำให้สิ้นปีนี้จะมีฝูงบินรวม 11 ลำ พร้อมรองรับเส้นทางบินใหม่และเสริมความแข็งแกร่งให้กับ 10 เส้นทางบินปัจจุบัน อาทิ โตเกียว, โอซาก้า, นาโงยะ, ซัปโปโร, โซล, เดลี และเซี่ยงไฮ้
.
บริษัทตั้งเป้าว่าการเปิดเส้นทางบินใหม่จะช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวและการใช้จ่ายในประเทศไทยช่วงปลายปี พร้อมประเมินว่าผลประกอบการสิ้นปี 2568 จะมีกำไรสุทธิราว 75 ล้านบาท และยังมีเป้าหมายใหญ่ในการขยายเส้นทางบินตรงสู่ยุโรป โดยอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ เพราะเส้นทางยุโรปยังมีข้อจำกัดด้านเส้นทางบิน แต่เบื้องต้นคาดว่ากลางปี 2569 จะเปิดเส้นทางบินยุโรป 2 เส้นทาง
.
พร้อมกันนี้ยังได้อัปเดตความคืบหน้าแผนฟื้นฟูกิจการ ว่า ปัจจุบันอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างภายใน คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ ก่อนเดินหน้าเพิ่มทุนอีก 1,000 ล้านบาทในปี 2569 ซึ่งจะช่วยเสริมสภาพคล่องและเตรียมความพร้อมออกจากแผนฟื้นฟูกิจการกลางปีหน้า
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1621442062469803
ท่องเที่ยวปีนี้คือพังมาก