เพจเฟซบุ๊ก "ฟิตร่าง สร้างสุขภาพ กับหมอฆนัท" ของ นพ.ฆนัท ครุธกูล ได้โพสต์ข้อมูลงานวิจัยใหม่เกี่ยวกับ "คนน้ำหนักเกิน" ตายยากกว่า "คนน้ำหนักน้อย" โดยระบุว่า
งานวิจัยใหม่ชี้ "คนน้ำหนักเกิน" ตายยากกว่า "คนน้ำหนักน้อย" งานวิจัยใหม่จากเดนมาร์กได้ท้าทายความเชื่อที่ยึดถือกันมายาวนานเกี่ยวกับน้ำหนักตัวและสุขภาพอย่างมากครับ
โดยงานวิจัยที่ได้นำเสนอในการประชุมประจำปีของสมาคมยุโรปเพื่อการศึกษาภาวะเบาหวาน (EASD) ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ระหว่างวันที่ 15-19 กันยายน พบว่าการมีน้ำหนักเกิน หรือแม้กระทั่งมีภาวะอ้วนในระดับปานกลาง ไม่จำเป็นต้องทำให้ความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูงกว่าคนที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) อยู่ในช่วงบนของเกณฑ์ปกติ แต่อย่างใด ตรงกันข้าม กลุ่มที่มีน้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐาน หรืออยู่ในช่วงล่างของเกณฑ์สุขภาพที่ถูกกำหนดไว้ กลับมีความเสี่ยงสูงกว่า
งานวิจัยจากประเทศเดนมาร์กพบว่า การมีน้ำหนักเกินเพียงเล็กน้อย หรือแม้กระทั่งอ้วนในระดับไม่รุนแรง อาจไม่ได้ทำให้อายุขัยสั้นลง ในขณะที่ผู้ที่มีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ หรืออยู่ในช่วงล่างของน้ำหนักปกติกลับมีความเสี่ยงสูงกว่า
งานวิจัยชี้ให้เห็นว่าอาจเป็นไปได้ที่จะ "อ้วนแต่ฟิต" ได้
การศึกษาในกลุ่มประชากรหลายหมื่นคนในเดนมาร์ก พบว่าผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) อยู่ในเกณฑ์น้ำหนักเกิน และแม้แต่บางส่วนที่จัดอยู่ในกลุ่มโรคอ้วน ก็ไม่ได้มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตในช่วงติดตามผล 5 ปี มากไปกว่าผู้ที่มี BMI อยู่ในช่วง 22.5 แต่ไม่เกิน 25 ซึ่งถือเป็นค่าช่วงบนของน้ำหนักปกติ”
ดร.ซิกริด เบิร์ก กริบชอลต์ จากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอาร์ฮุส ผู้นำการวิจัยครั้งนี้บอกว่า บุคคลที่มีค่าดัชนีมวลกายอยู่ในช่วงกลางถึงช่วงล่างของเกณฑ์ปกติ 18.5 แต่ไม่เกิน 22.5 มีแนวโน้มเสียชีวิตสูงขึ้น เช่นเดียวกับผู้ที่อยู่ในเกณฑ์น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์
“ทั้งภาวะน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์และโรคอ้วนเป็นปัญหาสุขภาพระดับโลก ภาวะอ้วนสามารถรบกวนการเผาผลาญของร่างกาย อ่อนแอระบบภูมิคุ้มกัน และนำไปสู่โรคต่างๆ เช่น เบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงมะเร็งได้ถึง 15 ชนิด ขณะที่น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์สัมพันธ์กับภาวะทุพโภชนาการ ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และการขาดสารอาหาร" ดร.ซิกริดอธิบายถึงผลการวิจัย
BMI คือ ค่าที่วัดจากน้ำหนักหารด้วยส่วนสูง (กิโลกรัม/เมตร) โดยทั่วไป
18.5 แต่ไม่เกิน 25 = น้ำหนักปกติ
น้อยกว่า 18.5 = น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์
25 แต่ไม่เกิน 30 = น้ำหนักเกิน
30 = โรคอ้วน
ในระหว่างการติดตามผลจากตัวอย่าง 85,761 คน พบว่ามีผู้เสียชีวิต 7,555 คน หรือ 8 เปอร์เซ็นต์ น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ (BMI <18.5) มีโอกาสเสียชีวิตสูงกว่ากลุ่มอ้างอิง (BMI 22.5–25) เกือบ 3 เท่า ส่วน
กลุ่มอ้วนขั้นรุนแรง (BMI 40) มีโอกาสเสียชีวิตสูงกว่ากลุ่มอ้างอิง มากกว่า 2 เท่า
ที่น่าสนใจคือ แม้แต่ในกลุ่มที่ BMI ถูกจัดว่าอยู่ในเกณฑ์สุขภาพดี ก็ยังพบอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าด้วย
ปัจจัยสำคัญอื่นๆ รวมถึงการกระจายตัวของไขมัน ไขมันช่องท้อง (Visceral fat) ซึ่งเป็นไขมันที่มีการเผาผลาญสูงและสะสมลึกอยู่ในช่องท้อง ล้อมรอบอวัยวะภายในจะหลั่งสารที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพการเผาผลาญ ดังนั้น บุคคลที่มีค่า BMI เท่ากับ 35 และมีรูปร่างแบบแอปเปิล(ไขมันส่วนเกินสะสมรอบหน้าท้อง) อาจมีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2 หรือความดันโลหิตสูง
ขณะที่อีกคนซึ่งมีค่า BMI เท่ากันแต่ไขมันส่วนเกินสะสมบริเวณสะโพก ก้น และต้นขา อาจไม่เผชิญกับปัญหาเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่าการรักษาภาวะอ้วนควรได้รับการปรับให้เหมาะสมเป็นรายบุคคล โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น การกระจายตัวของไขมัน และการมีภาวะร่วม เช่น เบาหวานชนิดที่ 2 เมื่อกำหนดเป้าหมายน้ำหนักที่เหมาะสม
เป็นงานวิจัยที่น่าสนใจและน่าจะนำไปต่อยอดได้อีกไกล เพื่อประเมินถึงสุขภาพของทุกคนในอนาคตได้ครับ แต่เหนือสิ่งอื่นใด การออกกำลังกาย กินอาหารที่ดี พักผ่อนให้เพียงพอ ทำทุกอย่างอยู่บนทางสายกลาง เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ และอย่าละเลยนะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้งานวิจัยใหม่จากเดนมาร์กชี้ คนน้ำหนักเกิน ตายยากกว่า คนน้ำหนักน้อย https://share.google/1QZKOiIZOfczyxPEp
งานวิจัยใหม่จากเดนมาร์กชี้ "คนน้ำหนักเกิน" ตายยากกว่า "คนน้ำหนักน้อย" 🐷🇩🇰
งานวิจัยใหม่ชี้ "คนน้ำหนักเกิน" ตายยากกว่า "คนน้ำหนักน้อย" งานวิจัยใหม่จากเดนมาร์กได้ท้าทายความเชื่อที่ยึดถือกันมายาวนานเกี่ยวกับน้ำหนักตัวและสุขภาพอย่างมากครับ
โดยงานวิจัยที่ได้นำเสนอในการประชุมประจำปีของสมาคมยุโรปเพื่อการศึกษาภาวะเบาหวาน (EASD) ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ระหว่างวันที่ 15-19 กันยายน พบว่าการมีน้ำหนักเกิน หรือแม้กระทั่งมีภาวะอ้วนในระดับปานกลาง ไม่จำเป็นต้องทำให้ความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูงกว่าคนที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) อยู่ในช่วงบนของเกณฑ์ปกติ แต่อย่างใด ตรงกันข้าม กลุ่มที่มีน้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐาน หรืออยู่ในช่วงล่างของเกณฑ์สุขภาพที่ถูกกำหนดไว้ กลับมีความเสี่ยงสูงกว่า
งานวิจัยจากประเทศเดนมาร์กพบว่า การมีน้ำหนักเกินเพียงเล็กน้อย หรือแม้กระทั่งอ้วนในระดับไม่รุนแรง อาจไม่ได้ทำให้อายุขัยสั้นลง ในขณะที่ผู้ที่มีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ หรืออยู่ในช่วงล่างของน้ำหนักปกติกลับมีความเสี่ยงสูงกว่า
งานวิจัยชี้ให้เห็นว่าอาจเป็นไปได้ที่จะ "อ้วนแต่ฟิต" ได้
การศึกษาในกลุ่มประชากรหลายหมื่นคนในเดนมาร์ก พบว่าผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) อยู่ในเกณฑ์น้ำหนักเกิน และแม้แต่บางส่วนที่จัดอยู่ในกลุ่มโรคอ้วน ก็ไม่ได้มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตในช่วงติดตามผล 5 ปี มากไปกว่าผู้ที่มี BMI อยู่ในช่วง 22.5 แต่ไม่เกิน 25 ซึ่งถือเป็นค่าช่วงบนของน้ำหนักปกติ”
ดร.ซิกริด เบิร์ก กริบชอลต์ จากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอาร์ฮุส ผู้นำการวิจัยครั้งนี้บอกว่า บุคคลที่มีค่าดัชนีมวลกายอยู่ในช่วงกลางถึงช่วงล่างของเกณฑ์ปกติ 18.5 แต่ไม่เกิน 22.5 มีแนวโน้มเสียชีวิตสูงขึ้น เช่นเดียวกับผู้ที่อยู่ในเกณฑ์น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์
“ทั้งภาวะน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์และโรคอ้วนเป็นปัญหาสุขภาพระดับโลก ภาวะอ้วนสามารถรบกวนการเผาผลาญของร่างกาย อ่อนแอระบบภูมิคุ้มกัน และนำไปสู่โรคต่างๆ เช่น เบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงมะเร็งได้ถึง 15 ชนิด ขณะที่น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์สัมพันธ์กับภาวะทุพโภชนาการ ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และการขาดสารอาหาร" ดร.ซิกริดอธิบายถึงผลการวิจัย
BMI คือ ค่าที่วัดจากน้ำหนักหารด้วยส่วนสูง (กิโลกรัม/เมตร) โดยทั่วไป
18.5 แต่ไม่เกิน 25 = น้ำหนักปกติ
น้อยกว่า 18.5 = น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์
25 แต่ไม่เกิน 30 = น้ำหนักเกิน
30 = โรคอ้วน
ในระหว่างการติดตามผลจากตัวอย่าง 85,761 คน พบว่ามีผู้เสียชีวิต 7,555 คน หรือ 8 เปอร์เซ็นต์ น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ (BMI <18.5) มีโอกาสเสียชีวิตสูงกว่ากลุ่มอ้างอิง (BMI 22.5–25) เกือบ 3 เท่า ส่วน
กลุ่มอ้วนขั้นรุนแรง (BMI 40) มีโอกาสเสียชีวิตสูงกว่ากลุ่มอ้างอิง มากกว่า 2 เท่า
ที่น่าสนใจคือ แม้แต่ในกลุ่มที่ BMI ถูกจัดว่าอยู่ในเกณฑ์สุขภาพดี ก็ยังพบอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าด้วย
ปัจจัยสำคัญอื่นๆ รวมถึงการกระจายตัวของไขมัน ไขมันช่องท้อง (Visceral fat) ซึ่งเป็นไขมันที่มีการเผาผลาญสูงและสะสมลึกอยู่ในช่องท้อง ล้อมรอบอวัยวะภายในจะหลั่งสารที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพการเผาผลาญ ดังนั้น บุคคลที่มีค่า BMI เท่ากับ 35 และมีรูปร่างแบบแอปเปิล(ไขมันส่วนเกินสะสมรอบหน้าท้อง) อาจมีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2 หรือความดันโลหิตสูง
ขณะที่อีกคนซึ่งมีค่า BMI เท่ากันแต่ไขมันส่วนเกินสะสมบริเวณสะโพก ก้น และต้นขา อาจไม่เผชิญกับปัญหาเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่าการรักษาภาวะอ้วนควรได้รับการปรับให้เหมาะสมเป็นรายบุคคล โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น การกระจายตัวของไขมัน และการมีภาวะร่วม เช่น เบาหวานชนิดที่ 2 เมื่อกำหนดเป้าหมายน้ำหนักที่เหมาะสม
เป็นงานวิจัยที่น่าสนใจและน่าจะนำไปต่อยอดได้อีกไกล เพื่อประเมินถึงสุขภาพของทุกคนในอนาคตได้ครับ แต่เหนือสิ่งอื่นใด การออกกำลังกาย กินอาหารที่ดี พักผ่อนให้เพียงพอ ทำทุกอย่างอยู่บนทางสายกลาง เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ และอย่าละเลยนะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้