KEY POINTS
ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 ไทยนำเข้าทองคำจากจีนเพิ่มขึ้นถึง 7,310% คิดเป็นมูลค่า 67,577 ล้านบาท
มูลค่าการนำเข้าทองคำโดยรวมจากทุกประเทศในช่วงเวลาเดียวกันอยู่ที่ 390,732 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47%
จีนเป็นแหล่งนำเข้าทองคำอันดับ 4 ของไทย รองจากสวิตเซอร์แลนด์ ฮ่องกง และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ราคาทองคำตลาดโลก (spot gold) ณ เดือนกันยายน 2568 ทุบสถิติสูงสุดตลอดกาลที่ระดับมากกว่า 3,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เทียบกับเดือนเดียวกันของปี 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ 2,552 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า 41%
อย่างไรก็ดี แม้ราคาทองคำในตลาดโลกจะปรับตัวสูงขึ้นมาก แต่การนำเข้าทองคำของประเทศไทยที่ส่วนใหญ่นำเข้ามาเพื่อการเก็งกำไร และส่วนหนึ่งเพื่อใช้ในการผลิตสินค้าเครื่องประดับทำด้วยทองเพื่อส่งออกยังมีการนำเข้าต่อเนื่อง
จากการตรวจสอบข้อมูลจากศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร ของ “ฐานเศรษฐกิจ” ช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ ไทยมีการนำเข้าทองคำ 187,848 กิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีการนำเข้า 102,911 กิโลกรัม หรือเพิ่มขึ้น 82% โดยมีมูลค่าการนำเข้า 390,732 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีการนำเข้า 266,693 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 47%
แหล่งนำเข้าทองคำ 5 อันดับแรกของไทยในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ ได้แก่
สวิตเซอร์แลนด์ มูลค่า 105,349 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน -13%
ฮ่องกง มูลค่า 84,099 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11%
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) มูลค่า 69,144 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,696%
จีน มูลค่า 67,577 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7,310%
สิงคโปร์ มูลค่า 19,312 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7%
ขณะที่การนำเข้าทองคำของไทยในปี 2567 มีปริมาณ 199,472 กิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ที่มีการนำเข้า 128,220 กิโลกรัม หรือเพิ่มขึ้น 55% คิดเป็นมูลค่าการนำเข้า 543,776 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีการนำเข้า 276,781 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 96%
อีกด้าน การส่งออกทองของไทยช่วง 7 เดือนแรกปี 2568 มีการส่งออกปริมาณ 78,075 กิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีการส่งออก 59,291 กิโลกรัม หรือเพิ่มขึ้น 31% โดยมีมูลค่าการส่งออก 254,073 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีการส่งออก 150,812 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 68%
สำหรับตลาดส่งออกทองคำยังไม่ขึ้นรูป 5 อันดับแรกของไทยในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 ได้แก่
สวิตเซอร์แลนด์ มูลค่า 108,146 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 137%
กัมพูชา มูลค่า 71,312 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% (ปี 2567 กัมพูชาเป็นตลาดส่งออกทองคำยังไม่ขึ้นรูปอันดับหนึ่งของไทย มีมูลค่าส่งออก 105,982 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนสูงถึง 744%)
สิงคโปร์ มูลค่าส่งออก 34,827 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51%
ฮ่องกง มูลค่าส่งออก 10,005 ล้านบาท ลดลง -27%
สปป.ลาว มูลค่าส่งออก 8,031 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 94%
ส่วนข้อมูลในปี 2567 ไทยส่งออกทองคำยังไม่ได้ขึ้นรูป 114,057 กิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มีการส่งออก 97,077 กิโลกรัม มูลค่าส่งออก 304,124 ล้านบาท จากปี 2566 มีการส่งออก 206,492 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 47%
ด้านสมาคมค้าทองคำ รายงาน ณ วันที่ 11 กันยายน 2568 เวลา 16.15 น. (ครั้งที่ 9 ของวัน)
ทองคำแท่ง รับซื้อที่บาทละ 54,500 บาท ขายออกบาทละ 54,600 บาท
ทองรูปพรรณ รับซื้อที่บาทละ 53,405 บาท และขายออกบาทละ 55,400 บาท
พบพิรุจไทยส่งออกทองไปกัมพูชากว่า 6.2 หมื่นล้าน กกร.คาดทำบาทแข็ง
KEY POINTS
กกร. พบความผิดปกติในการส่งออกทองคำไปกัมพูชาซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 6.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นอัตราที่สูงมากเมื่อเทียบกับขนาดของประเทศ
คาดว่าการส่งออกทองคำจำนวนมากนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง สวนทางกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
ภาคเอกชนมีความกังวลว่าอาจเกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมาย จึงเรียกร้องให้รัฐบาลใหม่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (ส.อ.ท. ,สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและหอการค้าไทย และสมาคมธนาคารไทย) หรือ กกร. ได้ตั้งข้อสังเกตสาเหตุค่าเงินบาทแข็งค่าเร็ว และรุนแรง เนื่องจากสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากความผิดปกติบางอย่างในเรื่องของการส่งออกทองคำ
โดยเฉพาะการส่งออกไปกัมพูชา ซึ่งข้อมูลล่าสุดเดือนม.ค. - ก.ค. 68 ไทยส่งออกทองคำไปกัมพูชา เป็นอันดับ 2 รองจากสวิสเซอร์แลนด์ โดยมีมูลค่ากว่า 2,149 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 68,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.3% คิดเป็นสัดส่วน 28.2% เมื่อเทียบกับการส่งออกทองคำทั้งหมด ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูงมาก ทั้งที่กัมพูชา เป็นประเทศเล็ก โดยเป็นประเด็นเร่งด่วนที่ต้องนำไปหารือกับรัฐบาลใหม่ต่อไป
“หากเทียบแล้วกัมพูชาเป็นประเทศเล็กๆ แต่ทำไมไทยถึงมีสัดส่วนการส่งออกทองคำไปค่อนข้างมาก ทำให้ได้เงินตราต่างประเทศเข้ามาจำนวนมาก ต้องแลกเป็นเงินบาท ความต้องการเงินบาทจึงเพิ่มขึ้น ทำให้ค่าบาทแข็งค่า“
ขณะที่กัมพูชามีปัญหาเรื่องของสแกมเมอร์ที่ค่อนข้างเยอะ จึงทำให้กกร.ตั้งข้อสังเกต รวมถึงกังวลว่า เรื่องดังกล่าวนี้จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจใต้ดินหรือไม่ จึงต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งรัฐบาล กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)เข้าไปตรวจสอบ
ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องติดตามและจับตาดูต่อไป เพื่อจะได้แก้ปัญหาได้ตรงจุด โดยเรื่องดังกล่าวนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ กกร.ยังไม่ได้ยืนยัน 100% ว่าเกี่ยวพันหรือไม่ แต่อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่คาดไม่ถึง เพราะเป็นเศรษฐกิจนอกระบบ ซึ่งการส่งออกทองคำไปกัมพูชา อาจจะมีทั้งถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมาย ต้องดูที่รายละเอียดกันอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม หากมองในความเป็นจริงเศรษฐกิจไทยไม่ดี และคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือกนง. เพิ่งลดดอกเบี้ยไป 0.25% ซึ่งตามความเป็นจริงค่าเงินบาควรทต้องอ่อนค่า แต่กลับแข็งขึ้น ซึ่งสิ่งต่างๆดังกล่าวเหล่านี้ ถือเป็นเรื่องผิดปกติ
”สิ่งที่ต้องการให้รัฐบาล และธปท.เร่งทำ คือ แยกมูลค่าการค้าทองคำออกมาก่อน เพื่อพิจารณาว่า ความผิดปกติอย่างไรบ้าง และให้ธปท.เข้าไปดูแลการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทให้เหมาะสม ไม่ใช่ว่า ประเทศอื่นแข็งค่าระดับหนึ่ง แต่ของไทยแข็งรุนแรงจนผิดปกติ หรือเวลาค่าเงินอ่อน ไทยก็มักอ่อนมากกว่าประเทศอื่น ทำให้กระทบกับผู้ประกอบการไทยในทุกภาคทั้งภาคการส่งออก ภาคเกษตร ภาคการท่องเที่ยวกระทบหมด“
นายเกรียงไกร กล่าวต่อไปอีกว่า ค่าเงินบาทของไทยอยู่ที่ระดับประมาณ 31.60-31.70 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีการคาดการณ์ว่ามีโอกาสแตะที่ระดับ 31.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งประเด็นดังกล่าวกกร. มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
อีกทั้งได้มีการส่งสัญญาณออกไปแล้วว่าเงินบาทแข็งเกินความจำเป็น ซึ่งไม่สะท้อนภาวะแท้จริงของเศรษฐกิจไทยที่ไม่ดีเท่าไหร่นักในเวลานี้ จากกำลังซื้อที่ไม่ดี โดยที่ตามปกติเงินบาทควรจะอ่อนค่า
อย่างไรก็ดี มีการวิเคราะห์ว่าปัญหามาจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่าทำให้เงินในภูมิภาคแข็งค่า ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่สิงสำคัญคือจะต้องดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับค่าเงินบาทในเชิงเปรียบเทียบ โดยที่ผ่านมาเมื่อค่าเงินดอลลาร์แข็ง เงินบาทไทยมักจะอ่อนค่าลงอย่างมากทุกครั้ง หรือที่เรียกว่ามากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค
แต่กลับกันเมื่อค่าเงินดอลลาร์อ่อน และค่าเงินในภูมิภาคแข็ง เหตุใดเงินบาทไทยจึงแข็งค่าขึ้นเป็นลำดับต้นของภูมิภาคเสมอ โดยตั้งแต่ต้นปีมาถึงปัจจุบันเงินบาทแข็งค่าขึ้นแล้วถึง 7% กว่า ซึ่งเป็นการแข็งค่าขึ้นเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคอาเซียนรองจากประเทศไต้หวันนี่คือปัญหา
ทั้งนี้ จากสภาวะดังกล่าวส่งผลให้ผู้ส่งออกได้รับผลกระทบ 2 เด้ง ได้แก่ ปัญหาจากการถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า 19% จากสหรัฐฯ และจากค่าเงิน ขณะที่ประเทศอื่นมีการใช้เทคนิคในการควบคุมค่าเงิน โดยการลดค่าเงินเพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากการถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ซึ่งไทยยังมีตลาดส่งออกใหญ่ทั่วโลกที่จะได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งทั้ง 100% โดยที่การส่งออกเป็น 60% ของจีดีพี
นอกจากนี้ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งไทยกำลังเร่งฟื้นฟูดึงนักท่องเที่ยวให้เดินทางเข้ามา หากค่าเงินบาทแข็งก็จะทำให้นักท่องเที่ยวที่ต้องการมาไทย ซึ่งมีดีทุกอย่างทั้งด้านสถานที่ อาหาร บริการ เกิดความลังเล เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี ทำให้นักท่องเที่ยวต้องคิดหนักมากขึ้น
อีกทั้ง ยังมีทางเลือกในการเดินทางไปท่องเที่ยวยังประเทศอื่นในภูมิภาค เช่น เวียดนาม ซึ่งค่าใช้จ่ายถูกกว่า แม้ว่าการบริการอาจจะไม่เทียบเท่า นักท่องเที่ยวก็จะเลือกไปมากกว่า
“ยกตัวอย่างเช่น ญี่ปุ่น ซึ่งนักท่องเที่ยวต้องการเดินทางไป แม้กระทั่งคนไทย เพราะนอกจากมีดีทุกอย่าง ทั้งสถานที่ อาหาร ปลอดภัยและที่สำคัญค่าใช้จ่ายถูก ได้ของดีราคาถูก ดังนั้น สิ่งสำคัญที่ไทยต้องทำคือการลดค่าเงิน หรือรักษาเสถียรภาพของค่าเงินให้ได้”
ทองคำจีนทะลักเข้าไทยพุ่ง 7,000% ควัก 3.9 แสนล้านใน 7 เดือน และ พบพิรุจไทยส่งออกทองไปกัมพูชากว่า 6.2 หมื่นล้าน
ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 ไทยนำเข้าทองคำจากจีนเพิ่มขึ้นถึง 7,310% คิดเป็นมูลค่า 67,577 ล้านบาท
มูลค่าการนำเข้าทองคำโดยรวมจากทุกประเทศในช่วงเวลาเดียวกันอยู่ที่ 390,732 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47%
จีนเป็นแหล่งนำเข้าทองคำอันดับ 4 ของไทย รองจากสวิตเซอร์แลนด์ ฮ่องกง และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
พบพิรุจไทยส่งออกทองไปกัมพูชากว่า 6.2 หมื่นล้าน กกร.คาดทำบาทแข็ง
KEY POINTS
กกร. พบความผิดปกติในการส่งออกทองคำไปกัมพูชาซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 6.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นอัตราที่สูงมากเมื่อเทียบกับขนาดของประเทศ
คาดว่าการส่งออกทองคำจำนวนมากนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง สวนทางกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
ภาคเอกชนมีความกังวลว่าอาจเกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมาย จึงเรียกร้องให้รัฐบาลใหม่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง