JJNY : ชาวบ้านเสียงแตกปม ‘ปิด-เปิด’ ด่านฯ│เซียผิดหวัง ภท.โยน พปชร.คุมแรงงาน│“ครูธัญ”เตือนแรง!│นันทนาห่วงคดีฮั้วส.ว.

ชาวบ้านเสียงแตกปม ‘ปิด-เปิด’ ด่านฯไทย-เขมร จี้ปัญหาคนแห่ไปเที่ยวบ่อนพนัน
https://www.dailynews.co.th/news/5100559/
.
.
ชาวบ้านอ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ มีความเห็นเสียงแตก ทั้งอยากให้ปิดด่านไทย-เขมรถาวร เพราะมีแต่คนแห่เข้าไปเล่นการพนันในบ่อน ขณะที่ด่านขนาดใหญ่ควรเปิดไว้ เพราะต้องนำสินค้าเข้าไปค้าขายต่างแดน
.
จากกรณี สส.พรรคประชาชน ออกมาให้ความเห็นว่ารัฐบาลควรเร่งผ่อนปรน แก้ปัญหาชายแดนไทย-เขมร โดยเฉพาะการเปิดด่านเพื่อให้พี่น้องประชาชนได้กลับมาค้าขาย เพื่อบรรเทาปัญหาปากท้อง ตามที่ปรากฏเป็นข่าวไปแล้วนั้น
.
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 10 ก.ย. ผู้สื่อข่าวเดินทางไปสอบถามประชาชนที่อยู่ตามแนวชายแดนด้าน อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ซึ่งมี “จุดผ่อนปรนช่องสายตะกู” ขึ้นกับตำบลจันทบเพชร อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ พบว่าประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นมีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ที่จะมีการปิดหรือเปิดด่านชายแดน
.
โดย นายแทนทอง (สงวนนามสกุล) อายุ 49 ปี ชาวบ้านพื้นที่ อ.บ้านกรวด เปิดเผยว่า ส่วนตัวมองว่า “ปิดด่านถาวร” เป็นเรื่องที่ควรทำ เนื่องจากเห็นว่าส่วนใหญ่แล้วจะมีเพียงคนไทยไปเล่นการพนันที่บ่อนฝั่งกัมพูชา นอกจากนั้นไม่มีอะไรเลย แต่ถ้าจะเปิดก็ขอให้เปิดจุดใหญ่ ๆ เช่นสุรินทร์ หรือสระแก้ว ส่วนจุดเล็ก ๆ ให้ปิดถาวรไปเลยน่าจะดีที่สุด
.
ด้าน นางบังอร (สงวนนามสกุล) อายุ 43 ปี ชาว อ.บ้านกรวด กล่าวว่า ตอนนี้พวกตนได้รับผลกระทบอย่างหนัก เข้าไปกรีดยางไม่ได้เพราะทางการห้ามเข้าไปจุดล่อแหลม ทั้งที่เป็นผืนแผ่นดินไทย ไม่ได้เข้าไร่ยางมานานกว่า 2 เดือน ไม่มีรายได้จากการกรีดยาง จนไม่มีเงินใช้จ่ายในครัวเรือน ส่วนตัวไม่อยากให้เปิด ปิดตายได้ยิ่งดี คนไทยมีแต่ไปเล่นการพนัน แต่จุดนี้ยอมรับว่าเขมรฝั่งนี้ไม่ค่อยดื้อเท่ากับฝั่งบ้านหนองจาน จ.สระแก้ว ส่วนหนึ่งก็มองว่าถ้าเปิดชาวบ้านก็จะมีรายได้เสริมบ้างจากการขับรถรับจ้าง กลุ่มค้าขายก็จะได้กลับมาค้าขายเหมือนเดิม ทั้งหมดเกิดจากผู้นำของเขมรไม่ใช่ชาวบ้านกัมพูชา
.

.
เซีย ผิดหวัง ภท.โยน พปชร.คุมแรงงาน จับตาคำแถลงนโยบาย ให้ความสำคัญขึ้นค่าแรงหรือไม่
.
‘เซีย’ ชี้ ‘ภูมิใจไทย’ เทกระทรวงแรงงาน โยน ‘พลังประชารัฐ’ บริหารแทน ชัดแล้วไม่แตะขึ้นค่าแรง จับตาคำแถลงนโยบายรัฐบาลอนุทินให้ความสำคัญพี่น้องแรงงานหรือไม่
.
เมื่อวันที่ 10 กันยายน นายเซีย จำปาทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวถึงโผคณะรัฐมนตรีของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีว่า โผ ครม.อนุทิน 1 เริ่มนิ่ง กระทรวงแรงงานไม่ใช่กระทรวงในสายตาพรรคภูมิใจไทย แต่เป็นกระทรวงที่น่าสนใจและอยู่ในสายตาตนและพรรคประชาชน เพราะพรรคประชาชนเข้าใจและให้ความสำคัญกับคนทำงานที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ และเป็นกำลังหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตได้เช่นทุกวันนี้
.
ก่อนหน้านี้ กระทรวงแรงงานเคยเป็นกระทรวงที่นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ จากพรรคภูมิใจไทย ดำรงตำแหน่งเจ้ากระทรวง แต่จากโผ ครม.ล่าสุด นายอนุทินไม่เลือกกระทรวงแรงงานไว้ให้พรรคภูมิใจไทยกำกับดูแล แต่มอบหมายให้ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง ส.ส.สระแก้ว พรรคพลังประชารัฐ นั่งบริหาร
.
อันที่จริงตนผิดหวังเล็กๆ เพราะคิดว่านายกฯอนุทินอาจจะอาศัยช่วงเวลา 4 เดือนในการบริหารงานนี้ ออกนโยบาย Quick Win เหมือนที่เตรียมปัดฝุ่นนโยบายคนละครึ่งของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และนโยบายค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศแบบไม่มีดอกจัน ก็เป็นนโยบายที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสร้างคะแนนนิยมได้เป็นอย่างดี แต่ตนคิดผิด
.
สำหรับ น.ส.ตรีนุช ประวัติไม่ปรากฏว่ามีความเชี่ยวชาญหรือเกี่ยวข้องด้านแรงงาน อย่างไรก็ตาม ตนจะติดตามการทำงานของรัฐมนตรีกระทรวงแรงงานคนใหม่อย่างใกล้ชิดว่าจะมีแนวนโยบายอะไรเพื่อพี่น้องแรงงานหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาตอนที่นายพิพัฒน์จากพรรคภูมิใจไทยนั่งเป็นเจ้ากระทรวงก็แช่แข็งเรื่องค่าแรง ไม่เน้นการพัฒนาหรือยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องแรงงาน ปล่อยให้มีกลุ่มนายทุนปิดกิจการลอยแพลูกจ้างเป็นจำนวนมาก โดยที่กระทรวงแรงงานไม่ได้บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง สร้างความเดือนร้อนแก่แรงงานจำนวนมาก
.
แม้นโยบายขึ้นค่าแรงไม่ใช่นโยบายหาเสียงของพรรคภูมิใจในการเลือกตั้งที่ผ่านมา และแม้การบริหารงาน 4 เดือนนี้จะสั้น แต่หากรัฐบาลอนุทินมีความจริงใจและให้ความสำคัญกับพี่น้องคนทำงานจริง ก็สามารถกำหนดนโยบายเพื่อพี่น้องแรงงานได้ในฐานะนายกรัฐมนตรี เช่น การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเท่ากันทั่วประเทศหรือแบบไม่มีดอกจัน การแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ปัญหาคนทำงานที่ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ปัญหาการดูแลเยียวยาแรงงานที่ถูกนายจ้างปิดกิจการลอยแพ ปัญหาการตรวจสอบประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสำนักงานประกันสังคม เป็นต้น หวังว่าประเด็นปัญหาเหล่านี้จะปรากฏในคำแถลงนโยบายของนายอนุทิน
.

.
“ครูธัญ” เตือนแรง! การเมือง-สื่อต้องหยุด! วาทกรรมสร้างความเกลียดชังทำลายอนาคตชาติ
.
“ครูธัญ” ชี้ การเมือง–สื่อ คือพื้นที่มืออาชีพ ต้องหยุดใช้วาทกรรมสร้างความเกลียดชังลดทอนความเป็นมนุษย์ กระทบอนาคตชาติ
.
วันที่ 10 ก.ย.2568 นายธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวถึงปรากฏการณ์การใช้ถ้อยคำเหยียดหยามในสังคมว่า คำว่า “กะเทย” หรือแม้แต่คำว่า “อี” อาจไม่ใช่คำหยาบ หากใช้ในวงสนทนาที่มีความเข้าใจร่วมกัน แต่เมื่อถูกนำไปใช้เพื่อด้อยค่าโดยเฉพาะในพื้นที่สาธารณะอย่างสภาผู้แทนราษฎรและสื่อมวลชน ความหมายย่อมเปลี่ยนไปทันที กลายเป็นลดทอนคุณค่าและศักดิ์ศรีของบุคคล สังคมประชาธิปไตยควรชั่งน้ำหนักอย่างไร ระหว่างเสรีภาพในการพูดกับการปกป้องไม่ให้ถ้อยคำกลายเป็นอาวุธทำร้ายผู้อื่น โดยย้ำว่าเสรีภาพเป็นหัวใจของประชาธิปไตย แต่เมื่อถ้อยคำถูกใช้เพื่อกดทับอัตลักษณ์หรือปลุกเร้าให้เกิดความเกลียดชัง เสรีภาพนั้นก็อาจย้อนทำลายประชาธิปไตยเสียเอง
.
นายธัญวัจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า วาทกรรมแห่งความเกลียดชัง (Hate Speech) หมายถึงการใช้ถ้อยคำหรือสัญลักษณ์ที่มีเจตนาลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลบนฐานอัตลักษณ์ เช่น เพศ เชื้อชาติ ศาสนา หรือสุขภาพจิต ซึ่งแตกต่างจากการถกเถียงเชิงเหตุผลในเชิงนโยบาย เพราะวาทกรรมเกลียดชังไม่ได้เปิดพื้นที่ให้ถกเถียง แต่กลับปิดปากและทำให้ผู้ถูกโจมตีถูกมองว่าด้อยค่า ในหลายประเทศ ศาลได้ขีดเส้นแบ่งเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน เช่น คดี Eatock v. Bolt ในออสเตรเลีย ที่นักข่าวถูกตัดสินว่ามีความผิดจากการโจมตีอัตลักษณ์ทางเชื้อชาติ หรือคดี New York Times v. Sullivan ในสหรัฐอเมริกา ที่ยืนยันว่าการวิพากษ์บุคคลสาธารณะควรเน้นที่ผลงาน ไม่ใช่การโจมตีตัวตนโดยตรง เหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนว่าเสรีภาพและความรับผิดชอบต้องเดินควบคู่กัน
.
หากเด็กและเยาวชนเติบโตในสังคมที่ผู้นำและสื่อยังใช้ถ้อยคำเหยียดหยามอย่างเปิดเผย พวกเขาจะซึมซับความเชื่อว่าการเหยียดเป็นเรื่องปกติ และท้ายที่สุดสังคมจะเต็มไปด้วยการแบ่งแยก ความไม่ไว้วางใจ และความรุนแรงทั้งทางวาจาและทางกายภาพ ซึ่งทำลายรากฐานของประชาธิปไตย ทุกคำพูดของนักการเมืองและสื่อมวลชน ต้องตระหนักว่า คือการส่งสัญญาณต่อสังคม ไม่ใช่เพียงต่อคู่ขัดแย้ง แต่หมายถึงต่ออนาคตของชาติด้วย การหยุดใช้วาทกรรมที่ลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เพียงเรื่องมารยาท แต่คือเงื่อนไขพื้นฐานให้ประชาธิปไตยยืนหยัดได้อย่างแท้จริง เช่นเดียวกับหลักการของกฎหมายสมรสเท่าเทียมที่ตั้งอยู่บนฐานคิดว่า คนเท่ากัน ไม่มีใครสูง ไม่มีใครต่ำ ไม่มี High ไม่มี Low และเพราะนี่คือพื้นที่มืออาชีพ” นายธัญวัจน์ กล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่