ศ.ดร.ฮาร์วาร์ดชี้ กาแฟ "เครื่องดื่ม 2 ด้าน" จะเป็นยาบำรุงหรือยาพิษ ขึ้นอยู่กับวิธีดื่ม



ศ.ดร.ฮาร์วาร์ดชี้ กาแฟ “เครื่องดื่มสองด้าน” แห่งศตวรรษที่ 21 จะเป็นยาบำรุงหรือยาพิษ ขึ้นอยู่กับวิธีดื่ม
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า กาแฟมีประโยชน์มากมาย แต่จะได้ผลดีจริงก็ต่อเมื่อดื่มอย่างถูกวิธีและถูกเวลา หากดื่มเกินพอดีหรือชงไม่ถูกต้อง “น้ำแห่งอายุยืน” อาจกลับกลายเป็น “น้ำก่อโรค” ได้ ศ.ดร. แนะนำว่าควรจดจำ 5 ข้อสำคัญเมื่อดื่มกาแฟ
กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่อยู่คู่กับวิถีชีวิตสมัยใหม่มานาน ไม่เพียงช่วยให้ตื่นตัวและมีสมาธิ แต่ยังมีงานวิจัยด้านระบาดวิทยามากมายชี้ว่า กาแฟอาจช่วยลดความเสี่ยงการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรและบางโรคเรื้อรัง
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญย้ำว่า ประโยชน์เหล่านี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อดื่มอย่างเหมาะสม มิฉะนั้น “น้ำอายุยืน” อาจแปรเปลี่ยนเป็น “น้ำก่อโรค” ได้เช่นกัน
กาแฟกับความเสี่ยงการเสียชีวิต: จุดต่างอยู่ที่ “น้ำตาล”
งานวิจัยขนาดใหญ่ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Nutrition ปี 2025 ศึกษาผู้ใหญ่กว่า 450,000 คนในหลายประเทศ พบความแตกต่างชัดเจนระหว่างกาแฟไม่ใส่น้ำตาลกับกาแฟใส่น้ำตาล
ผู้ที่ดื่มกาแฟดำวันละ 2 แก้วขึ้นไป (แก้วละประมาณ 250 มล.) มีความเสี่ยงเสียชีวิตโดยรวมลดลง 11% และความเสี่ยงโรคมะเร็งลดลง 5%
ตรงกันข้าม ผู้ที่ดื่มกาแฟปริมาณเท่ากันแต่ใส่น้ำตาล มีความเสี่ยงเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 25% และเสี่ยงมะเร็งเพิ่มขึ้น 6%
สาเหตุอยู่ที่ส่วนประกอบสำคัญ: กาแฟดำอุดมด้วยโพลีฟีนอลและสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยยับยั้งการอักเสบเรื้อรัง ลดความเสียหายของดีเอ็นเอ และปกป้องร่างกาย ขณะที่น้ำตาลกลับกระตุ้นภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้การเผาผลาญผิดปกติ และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเจริญของเซลล์มะเร็ง
ศ.ดร.แฟรงก์ ฮู แห่งคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ย้ำว่า “ประโยชน์ต่อสุขภาพของกาแฟมาจากตัวเมล็ดกาแฟเอง ไม่ใช่น้ำตาลหรือไซรัปที่เติมลงไป”
ช่วงเวลาทองในการดื่มกาแฟ: ตอนเช้า คือเวลาที่ช่วย “ปกป้องหัวใจ” ได้จริง
ไม่เพียงแค่วิธีชง แต่ “เวลา” ที่ดื่มก็มีผลต่อสุขภาพเช่นกัน งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน European Heart Journal ปี 2025 โดยทีมมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดร่วมกับศูนย์โรคหัวใจยุโรป ได้เสนอแนวคิด “ช่วงเวลาทองของการดื่มกาแฟ” เป็นครั้งแรก
การศึกษาที่ติดตามผู้เข้าร่วมหลายแสนคน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม: ดื่มเฉพาะตอนเช้า (04.00–11.59), ดื่มทั้งวัน และไม่ดื่มเลย พบว่า
กลุ่มที่ดื่มเฉพาะตอนเช้า มีความเสี่ยงเสียชีวิตโดยรวมลดลง 16% และความเสี่ยงเสียชีวิตจากโรคหัวใจลดลงถึง 31% เมื่อเทียบกับกลุ่มไม่ดื่ม
กลุ่มที่ดื่มทั้งวัน ไม่พบประโยชน์ชัดเจน แถมยังเสี่ยงต่อการนอนไม่หลับและความเครียดเรื้อรัง
กลุ่มที่ดื่มตอนเช้า 2–3 แก้วต่อวัน เป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ชัดเจนที่สุด
ผู้เชี่ยวชาญอธิบายว่า คาเฟอีนที่ดื่มในตอนเช้า สอดคล้องกับนาฬิกาชีวภาพของร่างกาย ช่วยเพิ่มความตื่นตัว โดยไม่รบกวนฮอร์โมนเมลาโทนินในเวลากลางคืน ตรงกันข้าม หากดื่มในช่วงบ่ายหรือค่ำ มีโอกาสสูงที่จะทำให้นอนไม่หลับ และส่งผลเสียต่อสุขภาพหัวใจในระยะยาว
5 หลักการดื่มกาแฟอย่างชาญฉลาด
เพื่อใช้ประโยชน์และลดความเสี่ยง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ปฏิบัติตาม 5 ข้อ ดังนี้
เลือกกาแฟดำหรืออเมริกาโน่ไม่ใส่น้ำตาล หากดื่มยาก สามารถเติมนมสด นมข้าวโอ๊ต หรือ นมถั่วเหลือง แทนน้ำตาลหรือไซรัป
เลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม ดื่มตอนเช้า (04:00–11:59) ช่วยปกป้องสุขภาพได้ชัดเจนที่สุด
ดื่มพอดี 2–3 แก้วต่อวัน (ประมาณ 400–500 มล.) ถือเป็นปริมาณปลอดภัยตามคำแนะนำของ FDA
หลีกเลี่ยงดื่มร้อนเกินไป เครื่องดื่มที่ร้อนเกิน 65°C จัดอยู่ในกลุ่ม “อาจก่อมะเร็ง” เพราะทำลายเยื่อบุหลอดอาหาร (IARC)
ควบคู่กับไลฟ์สไตล์สุขภาพดี กาแฟไม่ใช่ยาวิเศษ ประโยชน์ยั่งยืนเกิดขึ้นเมื่อมีอาหารสมดุล ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพักผ่อนเพียงพอ
กาแฟ “เครื่องดื่มสองหน้า” แห่งศตวรรษที่ 21
จากหลักฐานทั้งหมดเห็นได้ชัดว่า กาแฟอาจเป็นทั้งมิตรหรือศัตรู ขึ้นอยู่กับวิธีการดื่ม กาแฟดำในตอนเช้า 1 แก้ว อาจช่วยให้คุณมีชีวิตยืนยาวและสุขภาพดีขึ้น แต่หากกลายเป็นกาแฟใส่นมหวานดื่มตลอดวัน ผลเสียอาจมากกว่าประโยชน์หลายเท่า
คำถามไม่ใช่ว่า “ควรดื่มกาแฟหรือไม่” แต่คือดื่มอย่างไร เวลาใด และใส่อะไรบ้าง เมื่อรู้จักใช้ “ช่วงเวลาทอง” และหลีกเลี่ยงน้ำตาล กาแฟก็สามารถกลายเป็นหนึ่งใน “อาหารเสริมจากธรรมชาติ” ที่ทรงคุณค่าของชีวิตคนเมืองยุคใหม่ได้จริง

https://www.sanook.com/news/9841146/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่