รายละเอียด​ปู่​มั่น​ใช้​ธรรมะ​รัก​ษา​โรคที่หมอปัจจุบัน​รักษา​ไม่ได้​

กระทู้คำถาม
"..ท่านพระอาจารย์มั่นป่วยเป็นไข้มาลาเรียในคราวนั้นเราเป็นพระคิลานุปัฏฐากประจำ ท่านพระอาจารย์มั่นไม่ฉันข้าว ๓ วัน หนานแดงจึงนิมนต์ท่านไปพักรักษาที่โรงพยาบาลแมคคอมิกส์

ในการป่วยครั้งนั้น หมอไม่รับรองในอาการของท่านหมอได้พูดกับ ท่านเจ้าคุณพระราชกวี [ภายหลังดำรงตำแหน่งเป็น สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร)]
ว่าการป่วยของพระอาจารย์มั่นครั้งนี้อาจจะไม่รอด

เมื่อท่านเจ้าคุณเข้ามาหา ท่านพระอาจารย์มั่นจึงถามว่า หมอว่าอย่างไรท่านเจ้าคุณกราบเรียนว่า การป่วยครั้งนี้ท่านอาจารย์จะไม่รอด อาการหนักมาก

ท่านพระอาจารย์มั่นจึงพูดขึ้นว่า การป่วยครั้งนี้ยังไงก็ยังไม่ตายโดยที่สุดแล้วท่านพระอาจาย์มั่นจึงใช้ธรรมโอสถรักษาท่านพระอาจารย์มั่นพูดว่า เราพยายามรักษาด้วยยามาก็นานแล้ว จะพยายามรักษาด้วยยาธรรมดาต่อไปคงไร้ผลเราควรลองระงับด้วยธรรมโอสถดูบ้าง ถ้าไม่หายก็ให้มันตาย

ครูบาอาจารย์ท่านจึงเจริญกายคตาสติกรรมฐาน เป็นอนุโลมและปฏิโลมเพ่งแผดเผาภายในอยู่เพื่อเป็นวิหารธรรมทั้งกลางวันกลางคืนไม่นานอาพาธก็สงบ จึงปรากฏบาทคาถาขึ้นว่า ฌายี ตปติ อาทิจโจ พิจารณาได้ความว่า ฌานแผดเผาเหมือนดวงอาทิตย์ฉะนั้น

ในที่สุดอาการของท่านจึงทุเลาลงระหว่างนั้นเป็นสงครามอินโดจีน มีการพรางไฟไปทั่วทั้งจังหวัดในระหว่างที่พระอาจารย์มั่นออกจากโรงพยาบาลไปพักที่ป่าเปอะ เราได้แยกเดินทางกลับไปยังวัดร้างป่าแดง บ้านแม่กลอยเพื่อกราบเรียนอาการอาพาธของพระอาจารย์มั่น ให้พระอาจารย์พรหม ทราบ

ในสมัยนั้นท่านพระอาจารย์พรหมเป็นหัวหน้าสำนักแม่กลอยในตอนกลางคืน พระอาจารย์พรหมจึงประชุมพระเณร ถามในท่ามกลางสงฆ์ว่า ท่านรูปใดจะอาสาไปปฏิบัติท่านพระอาจารย์มั่น

เราจึงยกมือขึ้นว่า กระผมจะเป็นผู้อาสาปฏิบัติครูอาจารย์และได้ชักชวนครูบาทองปาน ผู้เป็นสหธรรมิก เราทั้งสองจึงได้เดินเข้ามาที่เชียงใหม่ เข้าไปพักที่วัดเจดีย์หลวง หนานแดงกับหนานพรมเอารถมารับให้ไปพักที่ป่าเปอะ
เพื่อไปปฏิบัติพระอาจารย์มั่น ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระอาจารย์มั่นพักฟื้นอยู่

เมื่อมาพักได้สัปดาห์กว่าๆ โยมเขียวซึ่งเป็นอุปัฏฐากเก่าแก่ของพระอาจารย์มั่น
เอาปัจจัยมาถวาย ๑ บาท พอตกกลางคืนเราก็เข้าไปถวายการรับใช้ท่าน เข้าไปกำปลายเท้า กราบเรียนถวายท่านว่า “ขอโอกาสครูบาอาจารย์...จะสมควรหรือไม่

ถ้าพรุ่งนี้จะนำปัจจัยที่โยมเขียวถวายมา ๑ บาทไปแลกเปลี่ยนเป็นนม ให้ครูบาอาจารย์ฉันตอนเช้าจะได้มีกำลัง แล้วแต่ครูบาอาจารย์จะพิจารณา” กราบเรียนแล้วก็นั่งฟังอยู่

ในสมัยนั้นมีแต่นมข้นหวานตรามะลิ ราคากระป๋องละ ๕ สตางค์เท่านั้น ท่านนิ่งไม่ตอบว่ากระไร ท่านคงพิจารณาไม่ว่าการใดก็ตาม ก็ต้องประกอบไปด้วยธรรมเท่านั้น ท่านไม่เห็นแก่ปากแก่ท้องยิ่งไปกว่าธรรม เรื่องเล็กน้อยไปถึงเรื่องใหญ่ต้องประกอบไปด้วยธรรมเท่านั้น

ท่านบอกว่า เราเป็นสมณะมาประพฤติธรรม ทุกกิริยาอาการเยื้องย่างบางอย่าง โลกไม่นิยมชมชื่นแต่ถ้าประมวลลงแล้วว่าเป็นธรรม เราก็ต้องดำเนินตามนั้น ธรรมแท้ไม่ได้เอามติที่ประชุมเห็นชอบ

แต่เอาใจที่บริสุทธิ์เห็นธรรม คนหมู่มากถ้ากิเลสหนาปัญญาหยาบมีมากเท่าใดก็จะออกกฎอันเป็นไปเพื่อกิเลสพวกพ้องตน

ฉะนั้น เราเป็นผู้ปฏิบัติธรรมต้องเอาธรรมเป็นใหญ่ ปลอดภัยกว่าการเอาตนเป็นใหญ่ ปลอดภัยกว่าการเอาคนหมู่มากเป็นใหญ่ ฯลฯ

อยู่ปฏิบัติท่านด้วยความเคารพเลื่อมใส แม้ในขณะที่ท่านอาพาธอยู่นั้นสิ่งที่ท่านแสดงออกมีแต่ธรรมะล้วนๆ อันเป็นเครื่องสอนเราผู้ไม่ป่วย ประหนึ่งจะเป็นเครื่องเตือนเราอยู่เสมอว่า

โรค ได้แก่ สิ่งที่เสียดแทงความผาสุข แบ่งออกเป็น ๒ ชนิด คือ โรคทางกายและโรคทางใจ

สัตว์ทั้งหลายที่ยืนยันว่าตัวเองมีสุขภาพดี ไม่ป่วยไข้ ไม่มีโรคทางกายตลอด ๑ ปี ๒ ปี ถึง ๑๐๐ ปี หรืออาจจะมากกว่านั้นความปลอดภัยจากโรคทางกายนี้พอที่อาจจะมีได้บ้าง

แต่สัตว์และมนุษย์ทั้งหลายที่จะยืนยันว่าไม่มีโรคทางใจ ไม่มีกิเลสแม้สักระยะครู่หนึ่งนิดเดียวจะไม่สามารถหาได้และมีได้ในโลกนี้ เว้นแต่เพียงพระพุทธเจ้า พระขีณาสพ พระอรหันต์เท่านั้นจึงจะเว้นโทษ คือ โรคทางใจได้

ยิ่งพวกเราเป็นบรรพชิตด้วยแล้ว มีโรคอยู่ ๔ อย่างแทรกซ้อนชอนไชเข้าไปสู่หัวใจพระเณรโดยไม่รู้ตัว

(๑) โรคมักมาก เป็นพระมักมากมูมมาม อยู่ที่ไหนก็มีแต่ความเดือดร้อน กระวนกระวายใจ ไม่รู้จักพอด้วยผ้านุ่งผ้าห่ม อาหารการกิน ที่อยู่ที่อาศัย และยารักษาโรคเที่ยวแสวงหาแต่สิ่งเหล่านี้ ไม่รู้จักลดละปล่อยวางไปที่ไหนก็แบกหามสิ่งเหล่านี้ไปด้วยไม่เป็นสมณะที่เบาสบาย เบากายเบาจิต

(๒) เมื่อเกิดโรคมักมากแล้ว โรคลามกจกเปรตก็ตามๆ กันมาเหมือนนัดกันไว้ที่ความเลวทราม ต่ำช้า ทำได้ทุกอย่างเพื่อที่จะให้คนมานับถือ เพื่อจะได้ลาภสักการะ มาปรนเปรอความหิวโหยของใจที่ไร้ศีลธรรม

(๓) เมื่อจิตใจมันสกปรกลามกเข้าเต็มเปาแล้วย่อมพยายามวิ่งเต้นขวนขวายเพื่อได้มาซึ่งความนับถือ ลาภสักการะ และการสรรเสริญ อย่างไร้ยางอาย หน้าด้านต่อศีลต่อธรรม

(๔) พระที่เป็นอย่างนี้มักเข้าไปสู่สกุลที่ร่ำรวย ทำทุกอย่าง ทุกวิถีทางเพื่อให้เขามานับถือมักจะกล่าวธรรมะปลอมๆ อันไพเราะเพราะพริ้งเป็นฉากหน้าซ่อนเร้นความละโมบโลภมากไว้ในเบื้องหลังแสดงตนเป็นประดุจไม่มีความโลภ ั้งๆ ที่มีความโลภจัด มีขันติ อดทนอดกลั้น เพื่อให้เขามานับถือ

โรคทั้ง ๔ อย่างที่ผมกล่าวมานี้แหล่ะ ให้พวกท่านระวัง มันร้ายกว่าโรคที่ผมป่วยอยู่เสียอีก ขอให้พวกท่านจงนำไปพิจารณา อย่าป่วยอย่าไข้เฉยๆ โดยไม่เห็นคุณเห็นโทษไม่งั้นจะแก้ไม่ได้ ใช้งานไม่ทัน เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน.."

ภูริทตฺธมฺโมวาท       พระครูวินัยธร
(หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)
วัดป่าสุทธาวาส
ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง
จ.สกลนคร
ถอดความจากเสียงอ่านชีวประวัติ
พระครูสุทธิธรรมรังสี (หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท)
      🙇🏻‍♂️สุดทางไป📖🖋️
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่