คุณกำลังประสบปัญหานั่งไม่สบาย ถ่ายอุจจาระแล้วรู้สึกเจ็บ หรือมีเลือดออกปนมากับอุจจาระใช่หรือไม่?
อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของ ‘ริดสีดวงทวาร’ โรคใกล้ตัวที่หลายคนกำลังเผชิญและอาจมองข้าม การทำความเข้าใจ อาการริดสีดวงทวารอย่างถูกต้องตั้งแต่ระยะเริ่มต้น คือก้าวแรกที่สำคัญในการดูแลตัวเองและป้องกันไม่ให้อาการรุนแรงขึ้น
บทความนี้จาก Dr.Pri Wellness โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จะพาคุณไปเจาะลึกถึงอาการริดสีดวงในแต่ละประเภทและแต่ละระยะ พร้อมวิธีสังเกตตัวเองง่ายๆ เพื่อให้คุณรู้เท่าทันโรคและรับมือได้อย่างเหมาะสม
ริดสีดวงทวารคืออะไรริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids) คือภาวะที่กลุ่มหลอดเลือดดำบริเวณปลายสุดของลำไส้ใหญ่และทวารหนักเกิดการโป่งพองหรือขยายตัว มักเกิดจากการมีแรงดันในหลอดเลือดบริเวณนั้นเพิ่มสูงขึ้นเป็นเวลานาน ริดสีดวงทวารสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งภายในและภายนอกรูทวารหนัก แม้จะไม่ใช่โรคร้ายแรงถึงชีวิต แต่ก็สร้างความเจ็บปวด ไม่สบายตัว และส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้หากไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้อง
ประเภทของริดสีดวงทวาร1. ริดสีดวงทวารภายใน (Internal Hemorrhoids)
ริดสีดวงทวารภายในเกิดจากหลอดเลือดที่อยู่สูงกว่าแนวเส้นรอบรูทวารหนัก (Dentate line) ซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่มีเส้นประสาทรับความเจ็บปวด ทำให้ในระยะแรกๆ ผู้ป่วยมักไม่รู้สึกเจ็บปวด และมักมองไม่เห็นจากภายนอก เว้นแต่จะมีการอักเสบหรือหัวริดสีดวงมีการปลิ้นยื่นออกมา
อาการริดสีดวงภายในที่พบบ่อย
เลือดออกขณะถ่ายอุจจาระ : นี่คืออาการที่พบได้บ่อยที่สุดและเป็นสัญญาณแรกๆ ผู้ป่วยอาจสังเกตเห็นเลือดสดๆ เคลือบอยู่บนผิวอุจจาระ หรือมีเลือดหยดลงในโถส้วมหลังการขับถ่าย บางครั้งอาจเห็นเป็นเพียงรอยเลือดติดที่กระดาษชำระ การมีเลือดออกตอนถ่ายบ่อยครั้งควรปรึกษาแพทย์
ไม่รู้สึกเจ็บ (ในระยะแรก) : เนื่องจากตำแหน่งที่เกิดอยู่ภายในทวารหนักซึ่งมีเส้นประสาทรับความเจ็บปวดน้อย อย่างไรก็ตาม หากหัวริดสีดวงมีการยื่นออกมาและเกิดการอักเสบหรือการบีบรัดจากหูรูดทวารหนัก ก็อาจทำให้เกิดอาการปวดได้
ติ่งเนื้อยื่นออกมาจากทวารหนัก : โดยเฉพาะหลังการถ่ายอุจจาระ หรือขณะเบ่ง ซึ่งในระยะแรกๆ ติ่งเนื้อนี้อาจสามารถหดกลับเข้าไปในทวารหนักได้เอง
อาการคันหรือระคายเคืองรอบทวารหนัก : อาจเกิดขึ้นได้หากมีมูกหรืออุจจาระเล็ดลอดออกมาสัมผัสผิวหนังบริเวณรอบทวารหนัก
2. ริดสีดวงทวารภายนอก (External Hemorrhoids)
ริดสีดวงทวารภายนอกเกิดจากหลอดเลือดที่อยู่บริเวณปากทวารหนัก หรือต่ำกว่าแนวเส้นรอบรูทวารหนัก (Dentate line) ซึ่งเป็นบริเวณที่มีเส้นประสาทรับความรู้สึกจำนวนมาก ทำให้ผู้ป่วยมักมีอาการเจ็บปวดได้ง่ายกว่าริดสีดวงภายใน สามารถมองเห็นหรือคลำได้เป็นติ่งเนื้อนุ่มๆ ที่บริเวณปากทวาร
อาการริดสีดวงภายนอกที่พบบ่อย :
อาการเจ็บปวด : เป็นอาการเด่นของริดสีดวงภายนอก โดยเฉพาะเมื่อมีการอักเสบ หรือเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหัวริดสีดวง (Thrombosed External Hemorrhoid) ซึ่งจะทำให้เกิดอาการปวด บวม แดง และคลำได้เป็นก้อนแข็งสีคล้ำที่ปากทวารหนักอย่างรุนแรง
อาการคันหรือระคายเคือง : บริเวณปากทวารหนัก อาจรู้สึกไม่สบายตัว
คลำได้ติ่งเนื้อ : ผู้ป่วยสามารถคลำพบติ่งเนื้อนิ่มๆ หรือก้อนแข็ง (ในกรณีมีลิ่มเลือดอุดตัน) ที่บริเวณปากทวารหนักได้
อาจมีเลือดออกได้บ้าง โดยเฉพาะเมื่อมีการเสียดสีหรืออักเสบ แต่ส่วนใหญ่มักพบในริดสีดวงภายในมากกว่า
สัญญาณเตือน! อาการริดสีดวงทวารในแต่ละระยะการทำความเข้าใจระยะของริดสีดวงทวารมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยให้คุณประเมินความรุนแรงของอาการและเลือกวิธีการดูแลตัวเองเบื้องต้นได้อย่างเหมาะสม หรือตัดสินใจไปพบแพทย์ได้ทันท่วงที
ริดสีดวงทวารภายใน แบ่งตามความรุนแรงได้ 4 ระยะระยะที่ 1 (ริดสีดวงระยะเริ่มต้น)
ในระยะนี้ เส้นเลือดจะเริ่มโป่งพองอยู่ภายในทวารหนัก โดยที่หัวริดสีดวงยังไม่ยื่นออกมาพ้นปากทวารหนัก ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่รู้ตัวว่ามีภาวะนี้ เนื่องจากมักไม่มีอาการเจ็บปวด แต่อาจสังเกตเห็นอาการริดสีดวงระยะเริ่มต้นได้จากการมีเลือดสดๆ ออกมากับอุจจาระ หรือติดที่กระดาษชำระหลังการขับถ่าย
ระยะที่ 2 :
หัวริดสีดวงจะเริ่มยื่นพ้นปากทวารหนักออกมาขณะเบ่งถ่ายอุจจาระ แต่ที่สำคัญคือหัวริดสีดวงจะสามารถหดกลับเข้าไปภายในทวารหนักได้เองหลังจากถ่ายอุจจาระเสร็จสิ้น อาการถ่ายเป็นเลือดอาจยังคงมีอยู่ และอาจเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติหรือไม่สบายตัวเล็กน้อยบริเวณทวารหนัก
ระยะที่ 3 :
ในระยะนี้ หัวริดสีดวงจะยื่นออกมาขณะเบ่งถ่ายอุจจาระเช่นกัน แต่จะไม่สามารถหดกลับเข้าไปได้เอง ผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้นิ้วดันหัวริดสีดวงกลับเข้าไปภายในทวารหนัก อาการอื่นๆ ที่อาจพบร่วมด้วยคือ อาการคัน ระคายเคือง หรือมีเมือกใสๆ ออกมาจากทวารหนัก และอาจเริ่มมีอาการปวดเพิ่มขึ้น
ระยะที่ 4 :
ถือเป็นระยะที่รุนแรงที่สุด หัวริดสีดวงจะยื่นออกมาจากปากทวารหนักตลอดเวลา และไม่สามารถดันกลับเข้าไปภายในได้อีก แม้จะพยายามดันแล้วก็ตาม ในระยะนี้ผู้ป่วยมักมีอาการปวดรุนแรง อาจมีการอักเสบ บวมแดง หรือเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน (Thrombosed Hemorrhoid) ซึ่งทำให้ปวดทรมานมาก และมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้ง่าย เช่น การติดเชื้อ
ริดสีดวงทวารภายนอก อาการและความรุนแรง
สำหรับริดสีดวงทวารภายนอกนั้น โดยทั่วไปมักไม่ได้แบ่งเป็นระยะที่ชัดเจนเหมือนริดสีดวงภายใน แต่ความรุนแรงของอาการจะขึ้นอยู่กับว่ามีการอักเสบหรือมีลิ่มเลือดอุดตันหรือไม่ หากเป็นเพียงติ่งเนื้อนิ่มๆ ที่ปากทวาร อาจทำให้รู้สึกรำคาญ คัน หรือเจ็บเล็กน้อย แต่หากเกิดการอักเสบหรือเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน (Thrombosed External Hemorrhoid) จะทำให้เกิดก้อนแข็งที่ปากทวารหนัก มีอาการปวด บวม แดง ร้อนอย่างชัดเจน และอาจรุนแรงจนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้
เมื่อไหร่ที่อาการริดสีดวงทวารของคุณ ควรไปพบแพทย์?
แม้ว่าริดสีดวงทวารในระยะเริ่มต้นหลายกรณีสามารถดูแลตัวเองเบื้องต้นได้ แต่มีบางสถานการณ์ที่คุณไม่ควรมองข้ามและควรไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง
1. มีเลือดออกทางทวารหนักปริมาณมาก หรือเลือดออกไม่หยุด แม้จะไม่ได้เบ่งถ่าย
2. อาการปวดรุนแรง จนทนไม่ไหว หรือส่งผลกระทบต่อการนั่ง การเดิน หรือการทำกิจวัตรประจำวัน
3. คลำได้ก้อนที่ทวารหนัก และมีอาการปวด บวม แดง ร้อน ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของภาวะลิ่มเลือดอุดตัน
4. อาการไม่ดีขึ้นเลย หรือแย่ลง หลังจากดูแลตัวเองเบื้องต้นตามคำแนะนำเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์
5. มีความกังวลใจ หรือไม่แน่ใจว่าอาการที่เป็นอยู่คือริดสีดวงทวาร หรืออาจเป็นโรคอื่นที่ร้ายแรงกว่า เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่
6. มีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น น้ำหนักลดผิดปกติ มีไข้ หรือลักษณะอุจจาระเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
บทสรุป รู้ทันอาการริดสีดวง เพื่อการดูแลที่ถูกต้อง
การสังเกตและทำความเข้าใจอาการริดสีดวงทวารตั้งแต่ระยะเริ่มต้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง การทราบถึงประเภทและระยะของโรคจะช่วยให้คุณสามารถเลือกวิธีดูแลตัวเองเบื้องต้นได้อย่างเหมาะสม และตระหนักได้ว่าเมื่อใดที่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ อย่าปล่อยให้อาการเล็กน้อยกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของคุณนะคะ
Dr.Pri Wellness หวังว่าข้อมูลในบทความนี้จะเป็นประโยชน์และช่วยให้คุณเข้าใจเรื่องอาการริดสีดวงได้ดียิ่งขึ้น หากคุณมีข้อสงสัยหรือต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถ
ติดต่อสอบถามทีมงาน Dr.Pri หรือติดตามบทความสุขภาพดีๆ จากเราได้ต่อไปค่ะ
เช็กด่วน! อาการริดสีดวงทวารแต่ละระยะเป็นอย่างไร? สัญญาณเตือนที่คุณต้องรู้