ถ้าในเอกสารจากนักประวัตศาสตร์สยามต้นรัตนโกสินทร์ อยุธยาไม่ได้รวมสุโขทัยอย่างสิ้นเชิง แต่มีการแทรกแซงอำนาจและลดทอนฐานะของสุโขทัยลงจนกลายเป็นรัฐบริวารในที่สุด โดยเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1349 เมื่อกองทัพอยุธยาบุกรุกและทำให้สุโขทัยกลายเป็นเมืองขึ้น และต่อมาในปี ค.ศ. 1438 พระยาบรมราชาธิราชที่ 2 แห่งกรุงศรีอยุธยาได้สถาปนาพระราเมศวร (บรมไตรโลกนาถ) ขึ้นเป็นอุปราชในสุโขทัย ซึ่งเป็นการยืนยันการสิ้นสุดของสุโขทัยในฐานะอาณาจักรอิสระ ช่วงนั้นล้านนาก็รบกับพม่าบุเรงนอง ไม่มีกำลังมาสนับสุนนด้วยสุโขทัย สุดท้ายพม่าได้ล้านนา บุเรงนองตีล้านนาได้ในปี
ค.ศ. 1558แต่ตั้งอำนาจเบล็ดเสร็จที่เชียงใหม่จริงๆปี ค.ศ. 1578บุเรงนองได้ส่งพระราชโอรส คือ "ฟ้าสาวัตถีนรภามังค้อย" เข้ามาปกครองเชียงใหม่โดยตรง เนื่องจากความพยายามที่จะตั้งตนเป็นอิสระจากพม่าของพระเมกุฏิคนล้านนาที่บุเรงนองให้ปกครองกันเอง หลังจากที่ขาดกำลังสุโขทัยที่โดยอยุทธยาตีได้ก่อน1438หรืออาจจะหลังกว่านี้(แต่ดีที่ยีนคนล้านนาส่วนใหญ่ไม่มียีนพม่าผสมมาก ตามdna แม้จะมีบ้างพวกยีนละว้า(มอญละว้าก็พบในยีนคนพม่าส่วนใหญ่อยู่แล้ว)จะเห็นได้ว่าล้านนาไม่ชอบทั้งอยุทธยาและพม่าแต่จะเกลียดพม่ามากกว่า อยุทธยาได้สุโขทัย ( ในส่วนของอยุทธยาจะใช้วิธีกลืนมากกว่าของพม่า ซึ่งวิธีนี้ใช้มาถึงยุครัตนโกสินทร์จนถึงปัจจุบัน ซึ่งจะแตกต่างกับที่ล้านนาที่ไม่ยอมทั้งพม่าและอยุทธยาถึงปัจจุบันจะมีการยอมไปมากก็เถอะ และอยุทธยาใช้วิธีการดองญาติสุโขทัย โดยยีนและหน้าตาที่เปลี่ยนไปของคนสุโขทัยในปัจจุบัน และ เปลี่ยนมาใช้ภาษาผสมไตกะไดแบบสุโขทัยผสมมอญเขมรสันสฤต(รากดั้งเดิมภาษาอยุทธยาและกัมพูชาคือภาษาเขมรมอญผสมภาษาสันสฤตกลุ่มลูกหลานศรีเทพที่มีกลุ่มแขกทมิฬมาผสมว้ายุคแรกๆ) ที่พัฒนากลายเป็นภาษาไทยในปัจจุบัน ในการลดทอนความเกลียดชังระหว่าง2กลุ่มเผ่าพันธุ์ แต่ยังคงไว้พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์แบบเขมรและยกภาษาเขมรเป็นกลุ่มใช้พูดกับกษัตริย์ ซึ่งพิธีกรรมต่างๆที่พวกเขมรมีใช้กัน กลุ่มไตกะไดไม่มี ว่าจะที่ล้านนา หรือ รัฐชานที่กลุ่มเจ้าไตใหญ่เคยปกครองก็ดี)
หลักฐานที่บ่งบอกว่า อยุทธยามีคือกลุ่มคนเขมรมอญเดิม(แต่หนักยีนแบบมอญพะโค)
ในยุคที่ตะวันตกเดินทางทั่วโลกเพื่อมาหาทรัพยากร(อ้างค้าขาย เอาอาวุธมาขายแลกทรัพยากรที่แพงกว่าอาวุธ ทำให้กษัตริย์ทั้งพม่าและสยามต่างต้องเอาทรัพยากรไม่ว่าแร่ ไม้ แลกกับฝรั่งเป็นจำนวนมาก ป่าและแร่ภาคกลางไม่เหลือทั้งๆที่อดีตมีมาก ไม่เว้นยุคล้านนาเป็นรัฐเทศราชหรือรัฐบรรณการ โดนทั้งพม่าและสยามดูดทั้งแร่ แะป่าไม้สักทอง)
อย่างโปรตุเกสที่เดินเรือผ่านมาค้าขายโซนนี้ ไม่ว่าพม่า หรือสยาม
บันทึกของปิเรส พ่อค้าชาวโปรตุเกส ได้เขียนขึ้นเมื่อ ค.ศ.1512-1515 (พ.ศ.2055-2058) ตรงกับแผ่นดินสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (นามเดิมพระเชษฐา) ของอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา และ สมัยพระเมืองแก้วของอาณาจักรล้านนา
ปิเรสได้พรรณนาถึง “ผู้ชายชาวสยาม” ไว้อย่างน่าสนใจ โดยมักเปรียบเทียบกับผู้ชายชาวมอญในหงสาวดี ที่ปิเรสเรียกว่าพะโค ดังนี้
“พวกเขามีรูปร่างสูง ผิวคล้ำ ผมเกรียนเหมือนชาวพะโค”
“ชาวสยามนิยมฝังตะกรุดและแขวนของขลังเป็นจำนวนมาก พอๆ กับผู้ชายพะโค นอกจากนี้ พวกขุนนางจะแขวน (เอกสารแปลบางเล่มใช้คำว่า “ฝัง”) เครื่องประดับเพชรยอดแหลมและอัญมณีอื่นๆ ไว้ในบริเวณที่ลับ”
https://www.matichon.co.th/weekly/featured/article_246847
https://www.silpa-mag.com/culture/article_157176 (ภาพวาดเก่าก็บอกอยู่ว่าผู้ชายหน้าออกเขมรมอญพม่าทั้งนั้น ได้เมียว้า ลาว ไตลื้อไตใหญ่จากภาคเหนือจากกลุ่มสุโขทัยขึ้นไป ลูกหลานปัจจุบันมันถึงไม่ดำเบ้าหน้าเขมรมอญแบบในอดีต แต่เบ้าหน้าก็ยังคงมีเค้าเขมรมอญอยู่ดี เพราะยีนเขมรมอญในตัวพ่อยังมีสูงรวมทั้งวิถีวัฒนธรรมต่างๆที่ยังมีเค้าโครงของกลุ่มตนอยู่ ซึ่งในปัจจุบันเราก็จะเห็นว่าผู้หญิงตระกูลไตกะไดก็ถูกชวนเชื่อด้วยความเป็นอยู่ที่ดีกว่าชวนเชื่อให้เป็นเมียของกลุ่มเขมรมอญกลุ่มนี้อยู่ หรือจากอดีตเมื่อ40-50ปีก่อนก็ไปชวนเชื่อเกณฑ์คนเหนือบางกลุ่มมาเป็นโสเภณีด้วยความเป็นอยู่ที่ถูกกดให้แร้งแค้น)
https://www.silpa-mag.com/history/article_41397 (รูปชาวสยามที่วาดโดยฝรั่งเศสในยุคคอนสแตนติน ฟอลคอน หรือออกญาวิชาเยนทร์ ขุนนางชาวกรีกที่มีอำนาจมากที่สุดคนหนึ่งในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช คือรูปคนเขมรมอญชัดๆ)
ยุค ยามาดะ นางามาซะ เดินทางเข้ามาในสยาม (อาณาจักรอยุธยา) ประมาณปี ค.ศ. 1612 (พ.ศ. 2155) ช่วงรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม
https://open.library.ubc.ca/viewer/tokugawa/1.0213137#p0z-4r0f: ภาพแผนที่โบราณญี่ปุ่น( บังโคะคุ โซซึ Bankoku Sōzu ค.ศ. 1645 ภาพแผนที่2 ด้าน ด้านหนึ่งเป็นแผนที่ ด้านหนึ่งเป็นผู้คน ) เหยียดคนสยามดำปี๋เป็นนิโกรเลยเมื่อเทียบเวียดนามที่ภาพติดกัน( シャム ชามุ คำนี้คือคำที่คนญีปุ่่นเรียกคนสยาม shamu ของคำว่าSiam แต่ญี่ปุ่นออกเสียง ชามุ คล้ายข่ามุอยู่นะ แต่ว่าไป คำว่าจาม กับ ชามุ ก็น่าสนใจ) ภาพวาดคนสยามที่คนญี่ปุ่นเคยมาติดต่อค้าขายด้วย ก็ดูภาพ ผู้ชายนุ่งโจงกระเบนเป็นชั้นๆลงสีฟ้าอ่อน ผู้หญิงนุ่งผ้าซิ้น(ในภาพคือผ้าสิ้นสีแดง)มีผ้าน่าจะสไบสีเขียวพาดแบบขวางผ่านอกไม่เฉียง ภาพติดกันก็ภาพของเวียดนามผู้หญิงใส่หมวกเวียดงอบเวียดนาม กลุ่มจาวานีสชวา กลุ่มลูซอน(ฟิลิปปินส์) ก็ตัวดำปี๋แบบชาวสยาม จริงๆยีนว้าแบบสยามถ้าไม่โดนแดดก็ขาวอยู่นะแต่ส่วนมากมียีนมานิกับแขกใต้ผสมเลยดำ


ในส่วนของ จดหมายเหตุลาลูแบร์ ค.ศ. 1687 มาในสมัยพระนารายณ์
https://progressivemovement.in.th/article/common-school/4440 ภาพวาดชาวสยามและสภาพบ้านเมืองในจดหมายเหตุลาลูแบร์ (ฉบับแปลภาษาอังกฤษ) ชุดภาพหญิง เหมือนกับ ภาพกลุ่มพ่อค้าญี่ปุ่นวาดเปะเลย ทั้งๆที่ พ่อค้าฝรั่งเศสที่มาด้วยกับลาลูแบร์ ค.ศ.1687 ก็ ยุคห่างกับยามาดะ ค.ศ.1612 ถึง 75 ปี
(นอกจากบันทึกลาลูแบร์ก็ยังมีหลักฐานจากชาวต่างชาติคนอื่นๆ ที่บันทึกเหตุการณ์ในสมัยเดียวกัน เช่น เชอวาเลีย เดอ ฟอบัง (Chevalier de Forbin) เป็นนายเรือโทชาวฝรั่งเศส นิโคลาส์ แชรแวส (Nicolas Gervaise) เป็นนักเดินทางชาวฝรั่งเศส บาทหลวง เดอะแบส (Claude de Bèze) และอีกมากมายหลายท่านที่ถูกแปลและตีพิมพ์รอให้ชวนอ่าน)
หลักฐานที่บ่งบอกว่า คนอยุทธยาก่อนรวมสุโขมัยคือกลุ่มคนเขมรมอญเดิม(แต่หนักยีนแบบมอญพะโค)
หลักฐานที่บ่งบอกว่า อยุทธยามีคือกลุ่มคนเขมรมอญเดิม(แต่หนักยีนแบบมอญพะโค)
“พวกเขามีรูปร่างสูง ผิวคล้ำ ผมเกรียนเหมือนชาวพะโค”
“ชาวสยามนิยมฝังตะกรุดและแขวนของขลังเป็นจำนวนมาก พอๆ กับผู้ชายพะโค นอกจากนี้ พวกขุนนางจะแขวน (เอกสารแปลบางเล่มใช้คำว่า “ฝัง”) เครื่องประดับเพชรยอดแหลมและอัญมณีอื่นๆ ไว้ในบริเวณที่ลับ”
https://www.matichon.co.th/weekly/featured/article_246847
https://progressivemovement.in.th/article/common-school/4440 ภาพวาดชาวสยามและสภาพบ้านเมืองในจดหมายเหตุลาลูแบร์ (ฉบับแปลภาษาอังกฤษ) ชุดภาพหญิง เหมือนกับ ภาพกลุ่มพ่อค้าญี่ปุ่นวาดเปะเลย ทั้งๆที่ พ่อค้าฝรั่งเศสที่มาด้วยกับลาลูแบร์ ค.ศ.1687 ก็ ยุคห่างกับยามาดะ ค.ศ.1612 ถึง 75 ปี