วิพากษ์ บทความ ดีเอ็นเอคนไทยภาคกลาง พบเชื่อมโยง 4 กลุ่ม ไท-กะได อินเดีย มอญ เขมร

ถอดรหัส ดีเอ็นเอคนไทยภาคกลาง พบ 4 กลุ่มเชื่อมโยง ไท-กะได อินเดีย มอญ เขมร
“คนไทยมาจากไหน?” ยังคงเป็นคำถามคลาสสิกที่ยังหาคำตอบไม่ได้ชัดเจน และคงต้องถกเถียงศึกษากันต่อไปไม่รู้จบสิ้น ทั้งในแง่ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ภาษา วัฒนธรรม แต่ในด้านวิทยาศาสตร์ ที่ “ดีเอ็นเอ” สามารถให้ข้อมูลสืบย้อนกลับไปได้หลายชั่วคนเป็นเวลาน้อยร้อย ๆ ปี จะบอกอะไรได้บ้าง?

รัฐไทยของคนไทยถือกำเนิดในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18-19 ในแถบที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา (รัฐสุโขทัย, รัฐอยุธยา) พื้นที่ตรงนี้เดิมปรากฏการรับวัฒนธรรมจากมอญ และเขมร ซึ่งเป็นกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติก ขณะที่คนไทยเป็นกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลไท-กะได

เมื่อรัฐของคนไทยเข็มแข็ง จากอยุธยาสืบต่อมาถึงรัตนโกสินทร์ ทำให้แกนกลางประวัติศาสตร์ของคนไทยจึงครอบคลุมอยู่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นสำคัญ ในขณะที่ภาคส่วนอื่น ๆ ยังไม่ถูกมองว่าเป็นคนไทย กว่าที่จะถูกรวมให้เป็นคนไทยเหมือนกันก็หลังจากรัฐไทยสมัยรัชกาลที่ 5 สถาปนาขึ้นเป็นรัฐชาติสมัยใหม่อย่างตะวันตก

ฉะนั้น หากจะพูดถึงดีเอ็นเอของ “คนไทย” ก็ต้องเจาะจงมาที่ “คนไทยภาคกลาง” ซึ่งพูดภาษาตระกูลไท-กะได (ภาษาในกลุ่มเดียวกับ คนเมือง ไทยวน ไทลื้อ ไทเขิน ไทใหญ่ ไทยอง ฯลฯ ในภาคเหนือ, ลาว ลาวอีสาน ผู้ไท แสก ญ้อ กะเลิง ฯลฯ ในภาคอีสาน)

สมมติฐานที่อธิบายต้นกำเนิดของคนไทย มี 2 รูปแบบ คือ
1. การแพร่ของผู้คน (Demic Diffusion) และ
2. การแพร่ของวัฒนธรรม (Cultural Diffusion)

การแพร่ของผู้คน คือ บรรพบุรุษของคนไทยพร้อมกับบรรพบุรุษของกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลไท-กะได อพยพมาจากดินแดนจีนทางตอนใต้ แล้วนำภาษา วัฒนธรรม และพันธุกรรมเหล่านั้นมาด้วย

การแพร่ของวัฒนธรรม คือ บรรพบุรุษของคนไทยเป็นกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติก (มอญ, เขมร) หรือกลุ่มคนดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในแถบนี้มาก่อนที่กลุ่มคนไทจะอพยพลงมา จนต่อมามีการผสมผสานแต่งงานระหว่างกัน ทำให้กลุ่มคนดั้งเดิมหันมาพูดภาษาตระกูลไท-กะได

จากการศึกษาดีเอ็นเอไมโทคอนเดรียของคนไทยภาคกลางในประชากรใน 7 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดสิงห์บุรี ราชบุรี นครปฐม กาญจนบุรี ฉะเชิงเทรา นครนายก และพิจิตร โดยครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 4 ส่วนคือ ภาคกลางตอนบน ภาคกลางตอนล่าง ภาคกลางตะวันตก และภาคกลางตะวันออก (ทั้งนี้ ได้ตัดกลุ่มคนที่มีเชื้อสายจีนออกไปจากการศึกษา เพราะเป็นกลุ่มที่ทราบประวัติค่อนข้างแน่ชัดอยู่แล้ว) ซึ่งทำให้พบข้อมูลว่า มีเชื้อสายดีเอ็นเอไมโทคอนเดรียชนิด M พื้นฐาน ซึ่งจะพบมากในกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติก

อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาดีเอ็นเอฝ่ายหญิงของคนไทยภาคกลางกลับไม่สอดรับกับ 2 สมมติฐานที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ โดยพบว่า คนไทยภาคกลางมีรูปแบบการสืบเชื้อสายฝ่ายหญิงตรงกับโมเดลการผสมผสานทางพันธุกรรม กล่าวคือ บรรพบุรุษฝ่ายหญิงของคนไทยภาคกลางสืบเชื้อสายร่วมกับกลุ่มคนไทจากสิบสองปันนา และกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลไท-กะไดอื่น ๆ กระทั่งหลังจากที่อพยพมาปักหลักตั้งถิ่นฐานแล้วได้มีการผสมผสานกับชาวมอญ

นอกจากนี้ ยังพบดีเอ็นเอเชื้อสายชนิด R และ U ซึ่งเชื่อมโยงกับชาวอินเดียอีกด้วย นับว่าเชื้อสายฝ่ายหญิงของคนไทยภาคกลางมีความหลากหลายมาก

ขณะที่ผลการศึกษาดีเอ็นเอฝ่ายชายของคนไทยภาคกลาง กลับให้ข้อมูลที่ต่างจากฝ่ายหญิง โดยพบว่า ชายไทยภาคกลางมีพันธุกรรมที่ใกล้ชิดกับชาวมอญมากกว่าประชากรกลุ่มอื่น ๆ อีกทั้ง ชายไทย และชายมอญก็มีพันธุกรรมส่วนหนึ่งที่คล้ายกับชาวเอเชียใต้หรืออินเดีย โดยเฉพาะชายไทยในจังหวัดกาญจนบุรี และพิจิตร ที่มีพันธุกรรมใกล้ชิดกับชาวอินเดียมากที่สุด

โดยเชื้อสายโครโมโซมวายชนิด H J Q และ R ซึ่งจำเพาะต่อชาวอินเดีย พบในคนไทยภาคกลาง และชาวมอญ ซึ่งพบน้อยในชายไทยจังหวัดราชบุรี และนครนายก, พบร้อยละ 20 ในชายไทยจังหวัดกาญจบุรี สิงห์บุรี และฉะเชิงเทรา, พบร้อยละ 30 ในชายไทยจังหวัดนครปฐม, พบร้อยละ 45 (ซึ่งมากที่สุด) ในชายไทยจังหวัดพิจิตร

และยังพบว่า ชายไทยภาคกลางได้รับสัดส่วนดีเอ็นเอจากชาวอินเดียมากกว่าผู้หญิงร้อยละ 5-15

ในผลการศึกษาดีเอ็นเองานนิติวิทยาศาสตร์ (ไมโครแซทเทลไลต์บนออโทโซมจำนวน 15 ตำแหน่ง) พบว่า คนไทยภาคกลางที่จังหวัดสิงห์บุรี ราชบุรี นครปฐม กาญจนบุรี ฉะเชิงเทรา นครนายก พิจิตร และสุพรรณบุรี มีโครงสร้างพันธุกรรมที่คล้ายกับชาวมอญในจังหวัดกาญจนบุรี และราชบุรี 

โดยคนไทยภาคกลาง และชาวมอญ ยังมีสัดส่วนทางพันธุกรรมที่คล้ายกับชาวเขมร และชาวญัฮกุรจากภาคอีสาน (ชาวญัฮกุรมีความเชื่อมโยงย้อนไปถึงสมัยทวารวดี) ประมาณร้อยละ 10-20 ที่เหลือมีพันธุกรรมที่พบมากในกลุ่มคนไทจากภาคเหนือ 


โดยสรุปแล้ว ดีเอ็นเอคนไทยภาคกลางสะท้อนการผสมผสานทางพันธุกรรมที่หลากหลายมาก เกิดจากการผสมผสานของประชากรกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลไท-กะได กลุ่มมอญ กลุ่มเขมร ซึ่งเป็นกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติก โดยคนไทยภาคกกลางมากกว่าครึ่งหนึ่งได้รับพันธุกรรมจากชาวมอญ ส่วนที่เหลือก็ได้รับผสมผสานมากน้อยแตกต่างกันไปแล้วแต่พื้นที่

ทั้งนี้ เชื้อสายฝ่ายหญิงของคนไทยภาคกลางจะสืบย้อนใกล้ชิดกับกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลไท-กะได ส่วนเชื้อสายฝ่ายชายของคนไทยภาคกลางจะสืบย้อนใกล้ชิดกับชาวมอญ ส่วนการผสมผสานของเชื้อสายอินเดียในคนไทยภาคกลางเกิดขึ้นราว 700-500 ปีมาแล้ว

ดีเอ็นเอของชาวอินเดียยังพบในหลายกลุ่มชน ในประเทศไทยพบในคนไทยภาคกลาง คนไทยภาคใต้ ชาวมอญ ชาวญัฮกุร และส่วย ในประเทศเวียดนามพบในชาวจาม ชาวจราย และชาวระแด ในประเทศกัมพูชา และประเทศเมียนมาก็พบดีเอ็นเอของชาวอินเดียเช่นกัน

แม้ข้อมูลของดีเอ็นเอคนไทยภาคกลางเหล่านี้จะสำรวจศึกษาจากคนในยุคปัจจุบัน แต่สิ่งที่ได้ก็สอดคล้องกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และโบราณคดี หลายอย่างที่ค้นพบในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเฉพาะการเข้ามาของอารยธรรมจากอินเดีย ทั้งด้านการค้า ศาสนา ภาษา และวัฒนธรรม ที่ช่วยก่อร่างบ้านเมืองในแถบนี้ขึ้นเป็นรัฐโบราณที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือ ทวารวดี

จากบทความ  ดีเอ็นเอคนไทยภาคกลาง พบเชื่อมโยง 4 กลุ่ม ไท-กะได อินเดีย มอญ เขมร  โดย กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม
https://www.silpa-mag.com/history/article_157399#google_vignette
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ส่วนที่ต้องการวิพากษ์
จากบทความนี้  ผมขอให้ กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม ช่วยปรับแก้รูปภาพประกอบด้วย ไอ้รูปที่อ้างว่ากลุ่มคนไทย ไม่ใช่เลย นั้นเป็นรูปภาพคนลาวที่ปากเซ (พวกยีนแบบเขมรมอญทั้งนั้น โซนลาวใต้) มันคือภาพ T.2 Pl. XVI, Course de pirogues à Bassac ภาพการแข่งขันเรือที่บริเวณปากเซ, ลาว จากหนังสือ Voyage d'exploration en Indo-Chine effectué pendant les années 1866, 1867 et 1868  
แล้วบอกให้ ลิงก์นี้https://www.lannernews.com/12022566-02/ ในหัวข้อ  ดี เอ็น เอ (DNA) และการศึกษาประวัติศาสตร์คนไท
ไปแก้ภาพด้วยก็ดีครับ มันอายเขา จะเอาภาพอะไรมาประกอบ ให้มันตรงหน่อยก็ดี  ไม่แปลกใจเลยที่ผมอ่านงานวิจัยหลายงานวิจัยของ อ.วิภูแก ก็ยังมีข้อที่สงสัยอยู่ในการสรุปงานวิจัย เพราะต้องหากลุ่มคนที่สืบรากไปถึงลูกหลานกลุ่มไตกะไดจริงๆหน่อยก็ดีครับ เพราะต่างจากงานวิจัยของจีนและเวียดนามมาก ที่มีการอ้างถึงยีนแบบไทกะได ที่เขาค่อนข้างชัดเจนกว่า
คือ ของ อ.วิภู ค่อนข้างไบแอสสูง ในเรื่องของกลุ่มตัวอย่างที่เอามาทดลองในงานวิจัย เห็นจากหลายงานของแก
ส่วนเนื้อหาในบทความโดยกองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรมในข้อมูลต่างๆก็ค่อนข้างดี ไม่ถึงกับเพี้ยน แต่การใส่อคติชวนเชื่อไปด้วยผมว่าไม่ถูก อย่างเช่นในข้อความนี้
------
ฉะนั้น หากจะพูดถึงดีเอ็นเอของ “คนไทย” ก็ต้องเจาะจงมาที่ “คนไทยภาคกลาง” ซึ่งพูดภาษาตระกูลไท-กะได (ภาษาในกลุ่มเดียวกับ คนเมือง ไทยวน ไทลื้อ ไทเขิน ไทใหญ่ ไทยอง ฯลฯ ในภาคเหนือ, ลาว ลาวอีสาน ผู้ไท แสก ญ้อ กะเลิง ฯลฯ ในภาคอีสาน)  
มันใช่หรอครับ  ไทย คำนี้ ใช้ในปี พ.ศ. 2482  ที่เป็นคำที่ใช้กันจริงๆ โดยจอมพล แปลก ที่พยายามล้างสมองคนในชาติด้วยคำนี้
ส่วนพวกที่หลอนว่ามีคำว่าไทยตั้งแต่อดีต โดยเอานิยายพวกอิลิตชวนเชื่อ อันนี้คงไม่นับ เพราะเอกสารต่างชาติก็ล้วนแต่เรียกชาวสยาม
----
และคำว่า ไทย มันก็คือ ต้องการโยงกับกลุ่มพูดไตกะได (หรือกลุ่มพูดภาษา ไต-จ้วง ) ถูกต้องไหม ทั้งๆที่ภาษาไทย(ภาษาสยาม)ไม่ได้มีอะไรใกล้กับภาษาไตกะไดเลย ถ้าบอกว่า เป็นภาษาสันสกฤต+เขมรมอญ ที่มีจำนวนมากกว่าภาษาไตกะได ยังจะดีซะกว่า


นี่มันถึงเป็นปัญหาให้คนเขมรมอญในประเทศนี้พยายามหนีตัวตนมอญเขมรของตนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่ยอมรับตัวเองซักที

จากคำว่า ไทย ที่จะอ้างเชื่อโยงกับ คนไทกะได  แบบที่อดีต ยิ่งยุค จอมพล แปลก อยากจะเคลมกลุ่มคนไตกะไดทั้งผู้คนและพื้นที่ให้ได้  

กลายมาเป็นเหลือ คำว่า ไทย = เขมรมอญ   ถ้าเอาข้อความของ กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม ที่ว่า  “คนไทย” ก็ต้องเจาะจงมาที่ “คนไทยภาคกลาง” เพราะยีนจริงๆของคนภาคกลางลงไปคือยีนแบบเขมรมอญ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่