หรือ “แผ่นดินไฟใต้” ไม่สำคัญพอเหมือน ‘ชายแดนเขมร’ ? คำถามถึง สมช.และกองทัพ เหตุใดกำแพงกั้นแดนจึงเลือกปฏิบัติ



ที่มา - http://www.kaowonni.com/2025/08/blog-post_26.html

หรือ “แผ่นดินไฟใต้” ไม่สำคัญพอเหมือน ‘ชายแดนเขมร’ ? คำถามถึง สมช.และกองทัพ เหตุใดกำแพงกั้นแดนจึงเลือกปฏิบัติ
โดย... ไชยยงค์ มณีพิลึก

สถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้รอบสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่เงียบเหงา มีคาร์บอมบ์จุดตรวจ มีระเบิดและการวางเพลิงต่อโรงงานไฟฟ้าชีวมวลชายแดนที่มีแม่น้ำโก-ลกกั้นของบริษัท ไพร์ซ ออฟ วู้ด กรีน เอนเนอยี่ จำกัด ม.9 ต.กายูคละ อ.แว้ง จ.นราธิวาส ซึ่งอยู่ระหว่างก่อสร้าง
 
นับเป็นโรงไฟฟ้าชีวมวลที่ถูกวางระเบิดและวางเพลิง 3-4 ครั้งในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา เท่าที่จำได้ยังมีที่ อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลาด้วย โรงไฟฟ้าชีวมวลล่าสุดนี้เป็นเจ้าของเดียวกันกับที่ อ.สะบ้าย้อยที่เคยเสียหายกว่า 30 ล้านบาท
 
จากการการสอบสวน รปภ.โรงไฟฟ้าที่ถูกบังคับให้อยู่นิ่งๆ และภาพจากกล้องวงจรปิดชี้ชัดว่าเป็นฝีมือ “กองกำลังติดอาวุธ” กว่า 10 คน มีอาวุธครบมือ ข้ามแม่น้ำโก-ลกมาจากจากฝั่งมาเลเซีย หลังก่อเหตุก็ข้ามกลับไป ถือเป็นการก่อการร้ายแบบ “สบายบรื้อ สะดือบุ๋ม” ก็ว่าได้
 
มีข่าวจากวงในแว่วว่า ก่อนเกิดเหตุ “ผู้รับผิดชอบในเรื่องสวัสดิภาพโรงไฟฟ้าชีวมวล” ได้ประชุมกับคนในพื้นที่ ทั้งที่เป็น “คนรัฐ” และ “กลุ่มอิทธิพล” มีการพูดคุยถึงข้อเรียกร้องจากกลุ่มปฏิบัติการว่าต้องการให้บริษัท “ซับพอร์ต” ในเรื่องอะไรบ้าง
 
ว่ากันว่ามีหลายเรื่อง หลากประเด็น อันเป็นเสมือนกับการเรียก “ค่าคุ้มครอง” ซึ่งก็ไม่มีการตอบรับว่า “เยส” หรือ “โน” หรือ “ โอเค” แต่กลับมีการนำไปแจ้งให้ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” รับรู้และนั่นจึงเป็นที่มาที่ไปของการวางเพลิงและวางระเบิดโรงไฟฟ้าชีวมวลล่าสุด
 
จึงเป็นบทสรุปให้กับนักลงทุนในชายแดนใต้ว่า เวลานี้ยังต้องคงจ่ายค่าคุ้มครองให้แก่ “ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่” และ “บีอาร์เอ็น” หรืออาจต้องนับรวม “พูโล” ที่มี “กัสตูรี มะโกตาห์” เป็นผู้นำเข้าไปด้วยก็ได้ เพราะยังมีแนวร่วมที่พร้อมที่ “รับจ้างก่อเหตุ” อยู่ในสังกัด

นี่เป็นการยืนยันว่าในพื้นที่ชายแดนใต้ ณ วันนี้การสถาปนา “อำนาจรัฐ” ยังมีรูโหว่เบ่อเริ้มให้แก่บีอาร์เอ็นได้สอดแทรกเข้ามามีอิทธิพล ซึ่งไม่ต่างจากอดีตที่เคยเกิดขึ้นกับขบวนการแบ่งแยกดินแดนไม่ว่าจะใช้ชื่อพูโล หรือชื่อกลุ่มไหนอะไรก็ตาม
 
มีประเด็นน่าสนใจต่อมาคือ เชื่อว่าก่อนมีการวางเพลิงและวางระเบิดโรงงานไฟฟ้าชีวมวลดังกล่าว พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะ ผอ.รมน.ภาค 4 ซึ่งยังนั่งในตำแหน่งของ “ผอ.กองข่าว” ด้วย ต้องมีการ “กระสากลิ่น” การก่อการร้ายของบีอาร์เอ็นแบบข้ามฟากข้ามประเทศมาก่อนแล้ว
 
จึงมีการเรียกประชุม “ชุด ฉก.อโณทัย” และ “ฉก.นราธิวาส” เพื่อให้เตรียมป้องกันด้วยการ “ซีลแนวชายแดน” เพื่อสกัดกั้น อีกทั้งยังพบว่ามีความเคลื่อนไหวของบีอาร์เอ็นในบริเวนเทือกเขาต่างๆ เช่นที่ “ยือลาแป” และ “เมาะแต” เป็นต้น
 
แต่สุดท้ายก็ป้องกันไม่ได้เพราะขาด “การข่าวเชิงลึก” รวมทั้งไม่มีการการข่าวที่เป็น “ชุดนอก” เข้าถึงความเคลื่อนไหวในรัฐกลันตันของมาเลเซียที่เป็น “ฐานที่มั่น” ของบีอาร์เอ็น จึงป้องกันได้แบบ “ตาบอดตีหม้อ” ที่รับรู้ได้แต่เพียงว่าจะมีการก่อเหตุใน จ.นราธิวาส โดยไม่ทราบว่าเป้าหมายคืออะไร ที่ไหน
 
นี่ถือเป็นประเด็นสำคัญมากที่ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” จำต้องเร่งแก้ไข
 
และมีคำถามต่อ “กองทัพ” ว่า สถานการณ์ไฟใต้ล่วงเลยมาถึงวันนี้แล้ว ยังไม่ถึงเวลา “สร้างกำแพงกั้นชายแดนไทย-มาเลเซีย” ให้เป็นกิจจะลักษณะอีกหรือ เพราะประจักษ์แล้วว่ามีทั้ง “กองกำลังติดอาวุธ” และ “แนวร่วม” เคลื่อนไหวอย่างสอดผสานกันระหว่างในชายแดนใต้ของไทยกับฝั่งมาเลเซีย
 
ถ้ามีการสร้างกำแพงกั้นเขตแดนแล้วก็จะปิด “จุดข้ามธรรมชาติ” ที่มีอยู่ 200 กว่าท่าข้ามได้ แล้วกำหนดให้เหลือจุดข้ามแดนได้เพียงตำบลละ 1 ท่าข้าม หากทำได้เชื่อว่าไม่สร้างความเดือดร้อนหรือทำลายวิถีชีวิตประชาชนของทั้ง 2 ประเทศแต่อย่างใด
 
ทำไม “สภาความมั่นคงแห่งชาติ” (สมช.) และ “กองทัพ” จึงไม่คิดทำ ทีงบประมาณซื้อเครื่องบินรบ เรือรบ และอาวุธยุทโธปกรณ์อื่นๆ กลับทำได้คล่องนัก หรือ “แผ่นดินไฟใต้” ไม่สำคัญเพียงพอเหมือน “ชายแดนเขมร” หรือถ้าสร้างกำแพงกั้นแดนแล้วจะเป็นการเสียผลประโยชน์ของเจ้าหน้าที่และผู้มีอิทธิพลบางกลุ่มใช่หรือไม่
 
มีอีกประเด็นคือ พ.ต.อ.ทวี สองส่อง รมว.ยุติธรรมลงพื้นที่ จ.ปัตตานี เปิดตัว พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ผู้ช่วย รมต.ประจำสำนักนายกฯ ที่รัฐบาลเตรียมตั้งให้เป็น “หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุข” คนใหม่ พร้อมมีชื่อภาคประชาชนที่จะร่วมคณะพูดคุยด้วย เพื่อสานต่อโต๊ะพูดคุยสันติสุขที่ถูก “อันวาร์ อิบราฮิม” นายกฯ มาเลเซียเรียกร้อง
 
ที่จริงบีอาร์เอ็นใช้คำว่า “เจรจาสันติภาพ” ขณะที่รัฐบาลให้เรียกขาน “พูดคุยสันติสุข” โดยต้องการ “หาทางลง” ให้ขบวนการแบ่งแยกดินแดน เนื่องจากประเทศไทยแบ่งแยกไม่ได้ ดังนั้นการตั้ง “รัฐปัตตานีดารุลสลาม” จึงเป็นการเพ้อฝันที่นับวันยิ่งห่างไกลจากการความเป็นจริง
 
ในขณะเดียวกันคนไทยก็ไม่ต้องการให้ชายแดนใต้เป็น “เขตปกครองตนเอง” หรือ “เขตปกครองพิเศษ” ดังนั้น การพูดคุยหรือเจรจาจึงต้องอยู่ในกรอบที่ไม่ทำให้ไทยเสียเปรียบให้ทั้งแก่บีอาร์เอ็น มาเลเซีย รวมถึง “องค์กรจากชาติตะวันตก” ที่เป็นอยู่เบื้องหลัง
 
ดังนั้น รัฐบาลควรปฏิเสธกรอบเจรจาตาม “แผนปฏิบัติการร่วมเพื่อสร้างสันติสุขแบบองค์รวม” หรือ Joint Comprehensive Plan for Peace (JCPP) เพื่อไม่ให้เข้าทางการ “วางกับดัก” ไว้เพื่อให้ฝ่ายบีอาร์เอ็นสมประโยชน์ตามที่ต้องการ

ที่สำคัญต่อไป พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ในฐานะหัวหน้าคณะฝ่ายไทยจะนำคณะไปพูดคุยกับตัวแทนบีอาร์เอ็นชุดเดิมต้องถือว่าป่วยการ เพราะจะล้มเหลวตั้งยังแต่ยังไม่ตั้งไข่ ดังนั้นการพูดคุยครั้งใหม่จึงต้องพูดกับ “ตัวจริง” ของบีอาร์เอ็นเท่านั้น เรื่องนี้รัฐบาลจึงต้องแถลงให้ประชาชนคนไทยได้รับรู้ล่วงหน้าด้วยเช่นกัน
 
เนื่องจาก 12-13 ปีที่ผ่านมาต้องนับว่าเป็นกระบวนการพูดคุยสันติสุขที่เปล่าประโยชน์ เป็นการผลาญงบประมาณโดยใช่เหตุ แถมยังมีการเปลี่ยนหัวหน้าคณะพูดคุยที่ไม่ต่างจาก “สมบัติผลัดกันชม” ซึ่งไม่ใช่เพื่อการดับไฟใต้ หรือเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน
 
แต่กลับเป็นได้เพียง “เวทีรำวง” ที่ต่างมุ่งรับเอา “มาลัยพวงใหญ่” จากงบประมาณที่เป็นภาษีของคนไทยทั้งแผ่นดินแขวนคอกลับไปกันทั้งนั้น จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า “กระบวนการพูดคุยสันติสุขครั้งใหม่” ซี่งกำลังจะเกิดขึ้นภายใต้ “ตัวแทนรัฐไทยคณะใหม่” จะไม่กระทำให้ซ้ำรอยเดิมๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่