ในอดีตตั้งแต่ปี ๒๕๒๓ ทั้งประเทศไทยและประเทศมาเลเซียต่างฝ่ายต่างสร้างรั้วกั้นเขตแดนของตนเอง
โดยมีการขยับเข้าไปในดินแดนของตนเองเล็กน้อย พื้นที่ที่ว่างตรงกลางเรียกว่า “No Man's Land”
ซึ่งนำมาสู่ปัญหาหลายอย่างตามมา ก่อให้เกิดทำสิ่งผิดกฎหมายตรงพื้นที่ว่างแห่งนี้ เช่น ลักลอบขนสินค้าหนีภาษี ยาเสพติด ฯลฯ
ทั้ง ๒ ประเทศทั้งประเทศไทยและประเทศมาเลเซีย เห็นตรงกันว่า ควรสร้าง “รั้วเดี่ยว” หรือ “รั้วร่วมกัน” ที่ไม่มีพื้นที่ว่างตรงกลางไปเลย จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
ในระหว่างการสำรวจทำแนวเขตแดนของทั้ง ๒ ประเทศ ปรากฏว่า มีสิ่งก่อสร้างสำคัญของประเทศไทย ได้ปลูกล้ำเส้นเขตแดนเข้าไปในเขตแดนของประเทศมาเลเซีย อยู่ ๓ แห่ง ได้แก่ ด่านศุลกากรปาดังเบซาร์ (๕๗๑.๘๔ ตร.ม.) ศาลเจ้าฮกเต็กแป๊ะกง (๑,๕๐๐ ตร.ม.) ศาลเจ้าแม่กวนอิม (๗๑.๙๕ ตร.ม.)
แต่วิธีการแก้ปัญหาน่าสนใจมาก เมื่อรู้ว่าประเทศไทยมีสิ่งปลูกสร้างล้ำเข้ามา ประเทศมาเลเซียเอง ก็ไม่ได้มีความแข็งกร้าวแบบสั่งให้รื้อทิ้งเลย มาเลเซียไม่ได้คิดแบบนั้น มีการแก้ปัญหาที่มี “ละมุนละม่อม” แบบสันติวิธี ว่า “ให้มีการแลกพื้นที่ในพื้นที่ที่เท่า ๆ กัน” กล่าวคือ ๓ สิ่งปลูกสร้างนี้ที่ประเทศไทยสร้างล้ำเข้ามา พื้นที่รวมกันได้เท่าไร ให้แลกพื้นที่ของไทยในขนาดที่เท่า ๆ กันให้ประเทศมาเลเซียไป
โดยประเทศไทยยอมแลกเปลี่ยนดินแดนตรงทางรถไฟ ด้วยขนาดพื้นที่รวม ๒,๑๔๔.๐๔ ตร.ม. เท่า ๆ กัน ให้กับประเทศมาเลเซีย เมื่อต้องสร้าง “รั้วเดี่ยว” กั้นเขตแดนของทั้ง ๒ ประเทศขึ้น รั้วจึงต้องสร้างติดประชิดสถานที่ทั้ง ๓ แห่ง แทนที่จะรื้อสิ่งปลูกสร้างทิ้งแล้วสร้างรั้วทับ
การแก้ปัญหาด้วยวิธี “การแลกดินแดน” แบบนี้ ระหว่างประเทศไทยและประเทศมาเลเซีย ดูเหมือนจะเป็นมิติใหม่ในการขจัดข้อขัดแย้งในเรื่อง “เขตแดน” ที่น่าสนใจ นั่นเพราะทั้ง ๒ ฝ่ายต่างยึดหลักการที่จะ “ไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้เปรียบหรือเสียเปรียบ” และทั้ง ๒ ประเทศ มุ่งแก้ไขปัญหาโดยที่คำนึงถึงความรู้สึกและจิตใจของประชาชน มากกว่า “เอาเป็นเอาตาย” ในเรื่อง “เส้นเขตแดน”
บรรณานุกรม
การแบ่งเส้นเขตแดนแบบ “ประเทศที่เป็นอารยะ” ประเทศไทย และ ประเทศมาเลเซีย