UPDATE: ผู้บริหาร Citi เตือน ‘ดอกเบี้ย Stablecoin’ อาจซ้ำรอยวิกฤตเงินฝากไหลออกยุค 80s
.
โรนิต โกส ผู้บริหารระดับสูงของ Citigroup ส่งสัญญาณเตือนว่าการที่แพลตฟอร์มคริปโตสามารถเสนอดอกเบี้ยจาก Stablecoin ได้ อาจเป็นชนวนให้เกิดวิกฤตเงินฝากไหลออกครั้งใหญ่จากระบบธนาคารแบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นภาพที่ย้อนรอยวิกฤตการณ์กองทุนตลาดเงิน (Money Market Funds) ในช่วงทศวรรษ 1980 ที่เคยสั่นคลอนเสถียรภาพของสถาบันการเงินสหรัฐฯ
.
คำเตือนดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่กลุ่มสมาคมธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐฯ กำลังล็อบบี้สภาคองเกรส เพื่อเรียกร้องให้มีการแก้ไขและปิดช่องโหว่ใน GENIUS Act ที่เพิ่งผ่านเป็นกฎหมาย ซึ่งพวกเขามองว่ากำลังสร้างสนามแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมและอาจนำไปสู่ความเสี่ยงเชิงระบบในอนาคต
.
🔸 ย้อนรอยวิกฤต 1980s เมื่อเงินฝากไหลไปหาผลตอบแทนที่สูงกว่า
.
โกสได้เปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันกับช่วงปลายทศวรรษ 1970 ถึงต้น 1980 ที่กองทุนตลาดเงินซึ่งไม่ถูกควบคุมเพดานดอกเบี้ย สามารถเสนอผลตอบแทนที่สูงกว่าธนาคารได้อย่างอิสระ ส่งผลให้เงินฝากจำนวนมหาศาลไหลออกจากระบบธนาคารที่ถูกควบคุมอัตราดอกเบี้ยอย่างเข้มงวด โดยช่วงปี 1981-1982 ยอดถอนเงินจากบัญชีธนาคารสูงกว่าเงินฝากใหม่ถึง 3.2 หมื่นล้านดอลลาร์
.
ปัจจุบันภาคธนาคารกังวลว่า ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย เมื่อแพลตฟอร์มคริปโตสามารถเสนอผลตอบแทนจาก Stablecoin ที่น่าดึงดูดใจ ขณะที่ธนาคารแบบดั้งเดิมยังคงอยู่ภายใต้กฎระเบียบที่เข้มงวดซึ่งจำกัดความสามารถในการแข่งขันด้านอัตราดอกเบี้ย
.
🔸 ช่องโหว่ใน GENIUS Act และความเสี่ยง 6.6 ล้านล้านดอลลาร์
.
กลุ่มธนาคารโต้แย้งว่า แม้กฎหมาย GENIUS Act จะห้ามไม่ให้ ผู้ออก Stablecoin เช่น Circle หรือ Tether จ่ายดอกเบี้ยโดยตรง แต่กฎหมายกลับไม่ได้ห้ามแพลตฟอร์มตัวกลางอย่าง Coinbase หรือ PayPal จากการมอบรางวัลหรือผลตอบแทนให้กับผู้ถือ Stablecoin ซึ่งพวกเขามองว่าเป็นช่องโหว่สำคัญ
.
ฌอน เวียร์กุทซ์ ที่ปรึกษาด้านการธนาคารของ PwC ชี้ว่า หากเงินฝากไหลออกจำนวนมาก ‘ธนาคารอาจต้องเผชิญกับต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้สินเชื่อสำหรับภาคครัวเรือนและธุรกิจมีราคาแพงขึ้น’
.
โดยกลุ่มธนาคารได้อ้างถึงการประมาณการของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ที่ระบุว่า Stablecoin ที่ให้ผลตอบแทนอาจทำให้ เงินฝากไหลออกจากระบบธนาคารสูงถึง 6.6 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดหาเงินทุนของธนาคารไปโดยสิ้นเชิง
ประเด็นที่น่าสนใจคือ แม้ผู้บริหารของ Citi กำลังออกมาเตือนถึงความเสี่ยง แต่ Citigroup เองก็กำลังสำรวจบริการรับฝาก Stablecoin และพิจารณาออกโทเคนดอลลาร์ดิจิทัลของตนเอง
.
เจน เฟรเซอร์ CEO ของ Citi ยืนยันว่ากำลัง ‘พิจารณาการออก Citi Stablecoin’ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าองค์กร ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าแม้แต่ธนาคารขนาดใหญ่เองก็กำลังพยายามปรับตัวเข้าสู่โลกของสินทรัพย์ดิจิทัล
.
ด้านอุตสาหกรรมคริปโตได้ออกมาตอบโต้ข้อกังวลของภาคธนาคารอย่างแข็งขัน โดย พอล เกรวาล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายของ Coinbase ระบุผ่านแพลตฟอร์ม X ว่า ฝ่ายนิติบัญญัติได้ ‘ปฏิเสธความพยายามอย่างไม่จำกัดของคุณ (กลุ่มธนาคาร) ที่จะหลีกเลี่ยงการแข่งขัน’ ไปแล้วในระหว่างการพิจารณากฎหมาย GENIUS Act
.
ความขัดแย้งครั้งนี้เกิดขึ้นในขณะที่บทบาทของ Stablecoin กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมีการคาดการณ์ว่าอาจมีปริมาณการชำระเงินรายปีสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปี 2571 และอาจคิดเป็น 10% ของปริมาณเงินทั้งหมดของสหรัฐฯ
.
แม้แต่ สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ก็ได้แสดงการสนับสนุน โดยมองว่า Stablecoin จะช่วย ‘ขยายการเข้าถึงเงินดอลลาร์สำหรับผู้คนหลายพันล้านคนทั่วโลก และนำไปสู่ความต้องการพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น’
.
ภาพ: wildpixel / Getty Images
.
#TheStandardWealth
citiเตือนดอกเบี้ยstablecoinอาจช้ำรอยวิกิดเงินฝากไหลออกยุค80
UPDATE: ผู้บริหาร Citi เตือน ‘ดอกเบี้ย Stablecoin’ อาจซ้ำรอยวิกฤตเงินฝากไหลออกยุค 80s
.
โรนิต โกส ผู้บริหารระดับสูงของ Citigroup ส่งสัญญาณเตือนว่าการที่แพลตฟอร์มคริปโตสามารถเสนอดอกเบี้ยจาก Stablecoin ได้ อาจเป็นชนวนให้เกิดวิกฤตเงินฝากไหลออกครั้งใหญ่จากระบบธนาคารแบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นภาพที่ย้อนรอยวิกฤตการณ์กองทุนตลาดเงิน (Money Market Funds) ในช่วงทศวรรษ 1980 ที่เคยสั่นคลอนเสถียรภาพของสถาบันการเงินสหรัฐฯ
.
คำเตือนดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่กลุ่มสมาคมธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐฯ กำลังล็อบบี้สภาคองเกรส เพื่อเรียกร้องให้มีการแก้ไขและปิดช่องโหว่ใน GENIUS Act ที่เพิ่งผ่านเป็นกฎหมาย ซึ่งพวกเขามองว่ากำลังสร้างสนามแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมและอาจนำไปสู่ความเสี่ยงเชิงระบบในอนาคต
.
🔸 ย้อนรอยวิกฤต 1980s เมื่อเงินฝากไหลไปหาผลตอบแทนที่สูงกว่า
.
โกสได้เปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันกับช่วงปลายทศวรรษ 1970 ถึงต้น 1980 ที่กองทุนตลาดเงินซึ่งไม่ถูกควบคุมเพดานดอกเบี้ย สามารถเสนอผลตอบแทนที่สูงกว่าธนาคารได้อย่างอิสระ ส่งผลให้เงินฝากจำนวนมหาศาลไหลออกจากระบบธนาคารที่ถูกควบคุมอัตราดอกเบี้ยอย่างเข้มงวด โดยช่วงปี 1981-1982 ยอดถอนเงินจากบัญชีธนาคารสูงกว่าเงินฝากใหม่ถึง 3.2 หมื่นล้านดอลลาร์
.
ปัจจุบันภาคธนาคารกังวลว่า ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย เมื่อแพลตฟอร์มคริปโตสามารถเสนอผลตอบแทนจาก Stablecoin ที่น่าดึงดูดใจ ขณะที่ธนาคารแบบดั้งเดิมยังคงอยู่ภายใต้กฎระเบียบที่เข้มงวดซึ่งจำกัดความสามารถในการแข่งขันด้านอัตราดอกเบี้ย
.
🔸 ช่องโหว่ใน GENIUS Act และความเสี่ยง 6.6 ล้านล้านดอลลาร์
.
กลุ่มธนาคารโต้แย้งว่า แม้กฎหมาย GENIUS Act จะห้ามไม่ให้ ผู้ออก Stablecoin เช่น Circle หรือ Tether จ่ายดอกเบี้ยโดยตรง แต่กฎหมายกลับไม่ได้ห้ามแพลตฟอร์มตัวกลางอย่าง Coinbase หรือ PayPal จากการมอบรางวัลหรือผลตอบแทนให้กับผู้ถือ Stablecoin ซึ่งพวกเขามองว่าเป็นช่องโหว่สำคัญ
.
ฌอน เวียร์กุทซ์ ที่ปรึกษาด้านการธนาคารของ PwC ชี้ว่า หากเงินฝากไหลออกจำนวนมาก ‘ธนาคารอาจต้องเผชิญกับต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้สินเชื่อสำหรับภาคครัวเรือนและธุรกิจมีราคาแพงขึ้น’
.
โดยกลุ่มธนาคารได้อ้างถึงการประมาณการของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ที่ระบุว่า Stablecoin ที่ให้ผลตอบแทนอาจทำให้ เงินฝากไหลออกจากระบบธนาคารสูงถึง 6.6 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดหาเงินทุนของธนาคารไปโดยสิ้นเชิง
ประเด็นที่น่าสนใจคือ แม้ผู้บริหารของ Citi กำลังออกมาเตือนถึงความเสี่ยง แต่ Citigroup เองก็กำลังสำรวจบริการรับฝาก Stablecoin และพิจารณาออกโทเคนดอลลาร์ดิจิทัลของตนเอง
.
เจน เฟรเซอร์ CEO ของ Citi ยืนยันว่ากำลัง ‘พิจารณาการออก Citi Stablecoin’ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าองค์กร ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าแม้แต่ธนาคารขนาดใหญ่เองก็กำลังพยายามปรับตัวเข้าสู่โลกของสินทรัพย์ดิจิทัล
.
ด้านอุตสาหกรรมคริปโตได้ออกมาตอบโต้ข้อกังวลของภาคธนาคารอย่างแข็งขัน โดย พอล เกรวาล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายของ Coinbase ระบุผ่านแพลตฟอร์ม X ว่า ฝ่ายนิติบัญญัติได้ ‘ปฏิเสธความพยายามอย่างไม่จำกัดของคุณ (กลุ่มธนาคาร) ที่จะหลีกเลี่ยงการแข่งขัน’ ไปแล้วในระหว่างการพิจารณากฎหมาย GENIUS Act
.
ความขัดแย้งครั้งนี้เกิดขึ้นในขณะที่บทบาทของ Stablecoin กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมีการคาดการณ์ว่าอาจมีปริมาณการชำระเงินรายปีสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปี 2571 และอาจคิดเป็น 10% ของปริมาณเงินทั้งหมดของสหรัฐฯ
.
แม้แต่ สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ก็ได้แสดงการสนับสนุน โดยมองว่า Stablecoin จะช่วย ‘ขยายการเข้าถึงเงินดอลลาร์สำหรับผู้คนหลายพันล้านคนทั่วโลก และนำไปสู่ความต้องการพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น’
.
ภาพ: wildpixel / Getty Images
.
#TheStandardWealth