ถ้าพูดถึง ‘แบรนด์ไทย’ ที่เป็นขวัญใจชาวต่างชาติมากกกก… คุณนึกถึงแบรนด์อะไร ? 🤔
👉
NaRaYa (นารายา)
ลูกค้าของนารายากว่า
90% เป็นชาวต่างชาติ
- นักท่องเที่ยวที่บินมาเองราวๆ 70%
- ส่งออกไปขายเองอีก 20-25%
📈 รายได้ของ NaRaYa ก็โตขึ้นทุกปี
- ปี 2022 : 352 ล้านบาท
- ปี 2023 : 558 ล้านบาท
- ปี 2024 : 754 ล้านบาท
ตอนนี้นารายาอายุ
36 ปี แล้ว มีหน้าร้านในไทย 18 สาขา และยังไปขายในญี่ปุ่นผ่านร้าน
THREEPY (ในเครือ DAISO) อีก
79 สาขา ด้วย
👜 จากมัคคุเทศก์ → สู่เจ้าของแบรนด์กระเป๋า
- คุณ
วาสนา รุ่งแสงทอง ผู้ก่อตั้ง แรกๆ ไม่ได้คิดทำกระเป๋าด้วยซ้ำ
- เริ่มจากทำบริษัท Trading แต่ธุรกิจไม่ปัง เพราะลูกค้าติดต่อโรงงานโดยตรง
- เลยคิดว่า “เราน่าจะมีสินค้าของตัวเอง” → ลองทำหลายอย่าง จนมาลงตัวที่ “กระเป๋าผ้าไทย”
- แรกๆ ใช้เครื่องจักร 15 ตัว ตั้งในบ้าน ทำกับพี่สาว-น้องสะใภ้
- ขายดีจนคนอื่นก็อปเพียบ → ต้องรีบจดทะเบียนเป็น “NaRaYa”
ที่สำคัญคือ นารายาไม่เคยมี “แผนกมาร์เก็ตติ้ง” เลยนะ !
คุณวาสนาบอกว่า สินค้ามันขายตัวเอง เพราะ
สวยงาม + ราคาจับต้องได้
พึ่งเริ่มทำการตลาดจริงๆ แค่ไม่กี่ปีนี้เอง (ตอนลูกเข้ามาช่วย)
🌍 ปัญหาที่ต้องเจอ
- ปี 2025 เดิมทีแพลนจะเปิด 5 สาขาใหม่ แต่เศรษฐกิจไม่ดี → ลดเหลือแค่ 1 (เยาวราช)
- นักท่องเที่ยวจีนลดลง แถมยังมีข่าวอาชญากรรม → กระทบยอดขาย
- แต่ก็หันไปจับตลาดใหม่ เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย เวียดนาม ตะวันออกกลาง
- ทำโปรเจกต์กับ Butterbear เพื่อบุกตลาดคนไทยเองด้วย (หวังเพิ่มลูกค้าไทยจาก 5-10% → 30%)
ที่มา
Brand Inside
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ถ้าพูดถึง ‘แบรนด์ไทย’ ที่เป็นขวัญใจชาวต่างชาติมากกกก ชนิดที่ว่ามาเที่ยวไทยทีไร ก็ต้องหอบกลับบ้านไปฝากเพื่อนๆ ตลอด คุณนึกถึงแบรนด์อะไร?
.
‘นารายา’ (NaRaYa) คือแบรนด์กระเป๋าของคนไทย ฝีมือคนไทย ที่มีลูกค้าต่างชาตินับเป็นสัดส่วนกว่า 90% โดยตีเป็นนักท่องเที่ยวที่เข้ามาซื้อราวๆ 70% และส่งออกเองอีก 20-25%
.
หากมาย้อนดูรายได้ 3 ปีที่ผ่านมาของ ‘บริษัท นารายณ์อินเตอร์เทรด จำกัด’ (นารายา) จะเห็นถึงการเติบโตทุกปี โดย
.
- 2022: 352 ล้านบาท
- 2023: 558 ล้านบาท
- 2024: 754 ล้านบาท
.
ปัจจุบัน นารายามีอายุ 36 ปีแล้ว พร้อมหน้าร้านในไทย 18 สาขา และวางขายในญี่ปุ่นตามช็อปของแบรนด์ ‘THREEPY’ บริษัทในเครือ DAISO อีก 79 สาขาด้วย
.
‘วาสนา รุ่งแสงทอง’ ผู้ก่อตั้งแบรนด์นารายา เล่าภายในงาน ‘Regional Trade Exponential Fest 2025’ มหกรรมจุดประกายการค้าระดับภูมิภาคว่า สาขาของนารายาจะอยู่ในแหล่งนักท่องเที่ยว เพราะเป็นที่นิยมในหมู่ต่างชาติ และคนไทยบางคนไม่รู้จักแบรนด์นี้เลยด้วยซ้ำ จนกระทั่งลูกค้าชาวจีนหรือญี่ปุ่นเป็นคนมาขอให้พาไปซื้อ
.
เรื่องราวของแบรนด์ไทยที่ดังมากๆ ในหมู่ต่างชาติอย่างนารายานี้มีที่มาที่ไปอย่างไร มาดูกัน
.
[ จากมัคคุเทศก์ สู่เจ้าของแบรนด์กระเป๋าที่ขายดีจนโดนก็อป ]
.
เดิมทีวาสนาไม่ได้ทำธุรกิจกระเป๋ามาตั้งแต่แรก เพราะเธอจดทะเบียนบริษัทเป็น ‘Trading’ หรือการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากพื้นฐานเคยประกอบอาชีพเป็นมัคคุเทศก์ และมีสามีชาวกรีกที่ทำงานในลิเบียมาหลายปี
.
อย่างไรก็ตาม กิจการที่วาสนาคิดไว้กลับไม่ประสบความสำเร็จดั่งที่หวัง เพราะตนเป็นเพียงตัวกลางในการส่งสินค้าไปยังเมืองนอก และทุกผลิตภัณฑ์ที่ส่งไปมักมียี่ห้อติดด้วยเสมอ ทำให้สุดท้ายลูกค้าปลายทางจึงเปลี่ยนมาติดต่อกับโรงงานผู้ผลิตโดยตรงแทน
.
ณ ตอนนั้น วาสนาเลยคิดว่า บริษัทควรผลิตอะไรเป็นของตนเองบ้าง ซึ่งเธอก็ทำหมดตามที่ลูกค้าต้องการ ไม่ว่าจะช้อน ตะเกียบ หรือใดๆ
.
จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อเพื่อนชาวต่างชาติของสามีเดินทางมาไทย แล้วบอกว่า ก่อนหน้านี้เพิ่งไปงานจัดแสดงสินค้าในเยอรมนีมา แล้วพบว่าไม่มีกระเป๋าชาติไหน สู้ประเทศเราได้เลย
.
ในทีแรก วาสนามีหน้าที่ช่วยติดต่อโรงงานผลิตกระเป๋าในไทยเท่านั้น แต่ผ่านไปสองปี กลับพบปัญหามากมายในเรื่องของคุณภาพที่ไม่คงที่
.
สุดท้าย เธอจึงไปชวนพี่สาวกับน้องสะใภ้ผู้จบจาก ‘โรงเรียนสอนตัดเสื้อระพี’ มาช่วยกันทำแบรนด์กระเป๋าด้วยเครื่องจักรเพียง 15 ตัวที่ตั้งอยู่ในบ้าน โดยวาสนารับหน้าที่เป็นคนขายเอง
.
ทำไปทำมา แม้จะมาเป็นแค่ร้านเล็กๆ แต่ขายได้ดีทีเดียว จนร้านข้างๆ เริ่มเลียนแบบ ชนิดที่ว่า ไปซื้อผ้าลายไหน เขาก็วิ่งไปซื้อตาม ทำให้วาสนาต้องไปจดทะเบียนแบรนด์ในชื่อนารายา ซึ่งมีที่มาจากชื่อบริษัท ‘นารายณ์ อินเตอร์เทรด’ นั่นเอง
.
เท่านั้นไม่พอ วาสนายังต้องไปดีลกับร้านขายผ้าด้วยว่า ลายอื่นๆ ที่จะขายในอนาคต นารายาขอจองไว้หมด ไม่ให้ขายคนอื่นเลย จนปัจจุบัน ทางแบรนด์ก็จดทะเบียนครอบคลุมเกือบทั่วโลกแล้ว
.
“นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราอยู่ถึงทุกวันนี้ เพราะว่าเราแข็งแรง และเราพยายามทำสินค้าให้ดี อย่างที่บอก 30 ปี เราไม่เคยมีแผนกมาร์เก็ตติ้งเลย สินค้าเขาขายตัวเอง เขาสวยงาม ราคาไม่แพง สินค้าดี มันก็ขายตัวเอง เราเพิ่งทำมาร์เก็ตติ้งตอนลูกเข้ามาช่วยประมาณ 5 ปีนี้เอง”
.
วาสนาเชื่อว่า ต่อให้โฆษณาขนาดไหน หากของไม่ดีจริง มันก็เหมือนกับการหลอกลวงลูกค้า ซึ่งทุกคนทราบดีว่า นารายาขายความประณีตและความสวยงาม โดยกระเป๋าทุกใบ แม้จะราคาไม่ถึง 1,000 บาท แต่มีมูลค่าของศิลปะการเย็บ พร้อมไอเดียจากชาวบ้านเกือบๆ 4,000 ครัวเรือนอยู่ในนั้น
.
[ ขายดีใช่ว่าจะไม่โดนกระทบจากพิษเศรษฐกิจ ]
.
จริงๆ ในปี 2025 นารายาตั้งใจที่จะเปิดสาขาเพิ่มประมาณ 5 แห่ง แต่เนื่องด้วยสถานการณ์ต่างๆ วาสนาจึงปรับแผนให้เหลือเพียง 1 สาขา ซึ่งก็เปิดไปแล้วที่เยาวราชเมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
.
“ปีที่แล้ว ธุรกิจเริ่มดีขึ้นตั้งแต่กลางปี เราก็คิดว่ามันดีขึ้น ปีนี้ก็เลยแพลนว่าจะเปิด 5 สาขา แต่ว่าเจอเศรษฐกิจแบบนี้ มกรา-กุมภายังโอเค พอมีนามันก็เริ่มดิ่ง เราก็เลยเบรก พิจารณาใหม่ เพราะเรามีประสบการณ์จากช่วงโควิดมาแล้ว เราก็เลยคิดว่า เอ๊ะ อะไรที่ยังไม่ทำ ก็เบรกไว้ก่อน” วาสนาอธิบาย
.
ในส่วนของสินค้าส่งออกก็แย่ลงเช่นกัน ด้วยปัญหาเศรษฐกิจโลกต่างๆ แถมคนจีนยังมองว่าประเทศเราอาชญากรรมเยอะอีก
.
ทั้งนี้ ไม่ได้แปลว่านารายาจะยอมแพ้ เพราะในเมื่อนักท่องเที่ยวไม่มาหาเรา เราก็ต้องไปหาเขาเอง
.
วาสนาเล่าว่า แม้นักท่องเที่ยวจีนจะมาไทยน้อยลง แต่ยังมีนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นๆ เข้ามาเพิ่ม เช่น อินโดนีเซีย อินเดีย เวียดนาม และตะวันออกกลาง เธอจึงคิดว่า ถ้าเช่นนั้น ก็อาจต้องไปทำตลาดที่ประเทศเหล่านี้ด้วย
.
อย่างญี่ปุ่น วาสนาก็กำลังทำโปรเจกต์เพิ่มเติมผ่านพาร์ทเนอร์ ขณะที่ในอินโดนีเซีย นารายาจะเริ่มจากการเข้าไปทำเองผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์
.
นอกจากนั้น ในปีนี้ นารายายังทำโปรเจกต์ร่วมกับ ‘Butterbear’ เพื่อตีตลาดคนไทยด้วย โดยหวังปรับสัดส่วนลูกค้าคนไทยจาก 5-10% เป็น 30%
.
[ คนทำธุรกิจต้องตั้งสติ วอนรัฐบาลช่วยเหลือภาคการส่งออกด้วย ]
.
ในยามที่เศรษฐกิจย่ำแย่ สถานการณ์โลกก็ไม่สู้ดี แถมนักท่องเที่ยวยังไม่ค่อยเดินทางเข้ามา วาสนาอยากฝากถึงผู้ประกอบการไทยทุกคนว่า ต้องตั้งสติเป็นอันดับแรก
.
“ยังไงธุรกิจต้องปรับแผนตัวเอง เราไม่รู้ว่าใครแข็งแกร่งอะไรขนาดไหน แผนตัวเอง ทุกคนต้องรู้ดีที่สุด มองภาพให้เห็นความจริงว่า ของเรามันเกิดจากอะไร ต้องมองภาพให้มันเห็นนะว่า ธุรกิจมันเผชิญกับอะไร” วาสนาเชื่ออย่างนั้น
.
นอกจากนี้ หากใครคิดจะทำสินค้าส่งออก วาสนาอยากให้คำนึงไว้เสมอว่า ทุกครั้งที่เราทำแบรนด์ มันมีคำว่าประเทศไทยเป็นนามสกุล ดังนั้น ถ้าอยากให้สินค้าไทยผงาดในเวทีโลก เราก็ต้องซื่อสัตย์ต่อลูกค้า และศึกษาวัฒนธรรมประเทศเขาให้ดี โดยอย่าลืมจดทะเบียนสินค้า เพื่อปกป้องตนเองด้วย
.
แต่จะให้ผู้ประกอบการไทยสู้เองฝ่ายเดียวคงไม่ไหว เพราะวาสนาก็อยากให้รัฐบาลไทยหันมาสนใจภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวบ้าง
.
นอกจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เช่น ตึกถล่ม จะทำลายความเชื่อมั่นในหมู่ชาวต่างชาติแล้ว วาสนามองว่า ยังมีอีกหลายประเทศที่ต้องการนักท่องเที่ยวจากบ้านเรา จนเกิดการใส่ร้ายป้ายสีขึ้น
.
ฉะนั้น หากเป็นไปได้ ก็วอนให้รัฐบาลซัพพอร์ตภาคการท่องเที่ยวและการส่งออก ด้วยการสร้างความเชื่อมั่นในหมู่ชาวต่างชาติเสียหน่อย
.
นารายาเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ฝีมือของคนไทยก็เป็นที่รักของชาวต่างชาติได้ แต่ในยามที่เศรษฐกิจและการเมืองโลกผันผวนแบบนี้ แค่ความพยายามของผู้ประกอบการอาจไม่เพียงพอ
.
ดังนั้น ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่รัฐบาลต้องก้าวเข้ามาสนับสนุน เพื่อให้แบรนด์ไทยไม่ใช่แค่ ‘อยู่รอด’ แต่สามารถ ‘เติบโต’ ได้บนเวทีโลก
นารายา (NaRaYa) คือแบรนด์กระเป๋าของคนไทย รายได้ปี 2024 754 ล้านบาท
👉 NaRaYa (นารายา)
ลูกค้าของนารายากว่า 90% เป็นชาวต่างชาติ
- นักท่องเที่ยวที่บินมาเองราวๆ 70%
- ส่งออกไปขายเองอีก 20-25%
📈 รายได้ของ NaRaYa ก็โตขึ้นทุกปี
- ปี 2022 : 352 ล้านบาท
- ปี 2023 : 558 ล้านบาท
- ปี 2024 : 754 ล้านบาท
ตอนนี้นารายาอายุ 36 ปี แล้ว มีหน้าร้านในไทย 18 สาขา และยังไปขายในญี่ปุ่นผ่านร้าน THREEPY (ในเครือ DAISO) อีก 79 สาขา ด้วย
👜 จากมัคคุเทศก์ → สู่เจ้าของแบรนด์กระเป๋า
- คุณ วาสนา รุ่งแสงทอง ผู้ก่อตั้ง แรกๆ ไม่ได้คิดทำกระเป๋าด้วยซ้ำ
- เริ่มจากทำบริษัท Trading แต่ธุรกิจไม่ปัง เพราะลูกค้าติดต่อโรงงานโดยตรง
- เลยคิดว่า “เราน่าจะมีสินค้าของตัวเอง” → ลองทำหลายอย่าง จนมาลงตัวที่ “กระเป๋าผ้าไทย”
- แรกๆ ใช้เครื่องจักร 15 ตัว ตั้งในบ้าน ทำกับพี่สาว-น้องสะใภ้
- ขายดีจนคนอื่นก็อปเพียบ → ต้องรีบจดทะเบียนเป็น “NaRaYa”
ที่สำคัญคือ นารายาไม่เคยมี “แผนกมาร์เก็ตติ้ง” เลยนะ !
คุณวาสนาบอกว่า สินค้ามันขายตัวเอง เพราะ สวยงาม + ราคาจับต้องได้
พึ่งเริ่มทำการตลาดจริงๆ แค่ไม่กี่ปีนี้เอง (ตอนลูกเข้ามาช่วย)
🌍 ปัญหาที่ต้องเจอ
- ปี 2025 เดิมทีแพลนจะเปิด 5 สาขาใหม่ แต่เศรษฐกิจไม่ดี → ลดเหลือแค่ 1 (เยาวราช)
- นักท่องเที่ยวจีนลดลง แถมยังมีข่าวอาชญากรรม → กระทบยอดขาย
- แต่ก็หันไปจับตลาดใหม่ เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย เวียดนาม ตะวันออกกลาง
- ทำโปรเจกต์กับ Butterbear เพื่อบุกตลาดคนไทยเองด้วย (หวังเพิ่มลูกค้าไทยจาก 5-10% → 30%)
ที่มา Brand Inside
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้