ปิดตาย! เจรจาปิโตรเลียม พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล 'ไทย-กัมพูชา' ขุมทรัพย์กว่า 10 ล้านล้านบาท
ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย–กัมพูชา ขนาด 26,000 ตร.กม. ยืดเยื้อมากว่า 46 ปี แม้รัฐบาลหลายชุดพยายามเจรจาจัดตั้ง “พื้นที่พัฒนาร่วม” (JDA) แต่ยังไร้ข้อสรุป
รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน และต่อมา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ต่างย้ำในนโยบายเร่งด่วนว่า ไทยต้องการลดต้นทุนพลังงานและเพิ่มปริมาณสำรอง โดยได้หารือกับฮุน มาแนต นายกฯ กัมพูชา ระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียนที่ลาว เมื่อ ต.ค. 2567
อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวชี้ว่าการเจรจายังไม่คืบ เพราะยังไม่ตั้งหัวหน้าคณะใหม่ และสถานการณ์พิพาทชายแดนยิ่งเพิ่มความยากลำบาก จึงมีข้อเสนอให้ใช้กลไกคนกลาง เช่น ศาลทะเลโลก หรือชาติมหาอำนาจร่วม เพื่อเร่งหาทางออกก่อนสูญเสียทรัพยากรใต้ทะเลมูลค่ากว่า 10 ล้านล้านบาท
กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเคยเสนอกรอบเจรจา 6 ประเด็น ได้แก่ การแบ่งปันผลประโยชน์ ระบบจัดเก็บรายได้ สิทธิสัมปทานเดิม โครงสร้างการบริหารจัดการ ศุลกากร–สิ่งแวดล้อม และกิจกรรมอื่น เช่น การประมงหรือวางท่อ ขณะเดียวกันยังต้องดำเนินการตาม MOU 2544 ที่กำหนดการเจรจาแบ่งเขตเหนือเส้นละติจูด 11 องศา และการพัฒนาร่วมใต้เส้นดังกล่าว
พื้นที่ทับซ้อนดังกล่าวมีศักยภาพสูง เพราะฝั่งไทยเคยพบปิโตรเลียมแล้ว เช่น แหล่งเอราวัณและอาทิตย์ แต่การสำรวจหยุดชะงักตั้งแต่ปี 2518 ทำให้ทรัพยากรถูกทิ้งไว้โดยไม่เกิดประโยชน์
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน เห็นว่าควรปรับแนวทางใหม่ โดยแยกการใช้ประโยชน์พลังงานออกจากการแบ่งเขตแดน และอาจจัดตั้งบริษัทร่วมระหว่างสองประเทศ เพื่อให้ทั้งรัฐบาลเห็นชอบและใช้ทรัพยากรได้โดยไม่ผูกกับข้อพิพาท
(ลิงก์อ่านต่อ)
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1195465?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR5SF8fZv--teI6fce9IC0aAmbE9JA7-1dCFMx0MK6F3vlyt7MmuIXvmPgixJw_aem_zUqAewEKbRHW-l3CXMeHLQ
พยายามบอกพื้นที่ทับซ้อน ซ้อนตรงไหน นี่คือแผ่นดินไทย
ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย–กัมพูชา ขนาด 26,000 ตร.กม. ยืดเยื้อมากว่า 46 ปี แม้รัฐบาลหลายชุดพยายามเจรจาจัดตั้ง “พื้นที่พัฒนาร่วม” (JDA) แต่ยังไร้ข้อสรุป
รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน และต่อมา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ต่างย้ำในนโยบายเร่งด่วนว่า ไทยต้องการลดต้นทุนพลังงานและเพิ่มปริมาณสำรอง โดยได้หารือกับฮุน มาแนต นายกฯ กัมพูชา ระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียนที่ลาว เมื่อ ต.ค. 2567
อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวชี้ว่าการเจรจายังไม่คืบ เพราะยังไม่ตั้งหัวหน้าคณะใหม่ และสถานการณ์พิพาทชายแดนยิ่งเพิ่มความยากลำบาก จึงมีข้อเสนอให้ใช้กลไกคนกลาง เช่น ศาลทะเลโลก หรือชาติมหาอำนาจร่วม เพื่อเร่งหาทางออกก่อนสูญเสียทรัพยากรใต้ทะเลมูลค่ากว่า 10 ล้านล้านบาท
กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเคยเสนอกรอบเจรจา 6 ประเด็น ได้แก่ การแบ่งปันผลประโยชน์ ระบบจัดเก็บรายได้ สิทธิสัมปทานเดิม โครงสร้างการบริหารจัดการ ศุลกากร–สิ่งแวดล้อม และกิจกรรมอื่น เช่น การประมงหรือวางท่อ ขณะเดียวกันยังต้องดำเนินการตาม MOU 2544 ที่กำหนดการเจรจาแบ่งเขตเหนือเส้นละติจูด 11 องศา และการพัฒนาร่วมใต้เส้นดังกล่าว
พื้นที่ทับซ้อนดังกล่าวมีศักยภาพสูง เพราะฝั่งไทยเคยพบปิโตรเลียมแล้ว เช่น แหล่งเอราวัณและอาทิตย์ แต่การสำรวจหยุดชะงักตั้งแต่ปี 2518 ทำให้ทรัพยากรถูกทิ้งไว้โดยไม่เกิดประโยชน์
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน เห็นว่าควรปรับแนวทางใหม่ โดยแยกการใช้ประโยชน์พลังงานออกจากการแบ่งเขตแดน และอาจจัดตั้งบริษัทร่วมระหว่างสองประเทศ เพื่อให้ทั้งรัฐบาลเห็นชอบและใช้ทรัพยากรได้โดยไม่ผูกกับข้อพิพาท
(ลิงก์อ่านต่อ)
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1195465?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR5SF8fZv--teI6fce9IC0aAmbE9JA7-1dCFMx0MK6F3vlyt7MmuIXvmPgixJw_aem_zUqAewEKbRHW-l3CXMeHLQ