คุณยายวัย 82 ถูกลูกหลานพามาขอใบรับรองสติ...เพื่อถอนเงินเก็บทั้งชีวิต
วันนั้นเป็นบ่ายวันอังคาร ผมนั่งรออยู่ในห้องตรวจเล็ก ๆ มีหญิงชราร่างผอม หัวสั่น มือสั่น ถูกพยุงเข้ามาโดยลูกสาวสองคน
เธอยิ้มให้ผมเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองลูกสาว เหมือนรอให้พวกเขาพูดแทน
ลูกสาวคนหนึ่งพูดเสียงแข็ง “หมอคะ แม่ยังมีสติดีอยู่ ช่วยออกใบรับรองให้หน่อยค่ะ จะได้ไปถอนเงินก้อนออกมา”
ผมพยักหน้า แล้วหันไปคุยกับคุณยายตรง ๆ
“คุณยายครับ วันนี้วันอะไรครับ?”
“ยายครับ ตอนนี้เราอยู่ที่ไหน?”
“คุณยายพอจะเล่าได้ไหมครับว่าเงินที่ลูกสาวจะให้ถอนเอาไปทำอะไร?”
คุณยายเงียบไปนาน น้ำตาคลอ ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ ว่า “ยายไม่อยากถอน...มันคือเงินที่ยายเก็บไว้เผื่อตาย”
ผมเงียบไปชั่วครู่ ความรู้สึกหนักอึ้งกดลงบนอก ห้องตรวจทั้งห้องเต็มไปด้วยบรรยากาศที่ตึงเครียด
ลูกสาวหันมามองผมอย่างกดดัน แต่ในฐานะแพทย์ผู้รับรองสติ ผมไม่สามารถเมินเฉยต่อเสียงเล็ก ๆ ของหญิงชราตรงหน้าได้
ผมบอกชัด ๆ ว่า “ใบรับรองสติ ไม่ใช่แค่การเซ็นกระดาษ แต่มันคือการยืนยันว่า ‘เจ้าของชีวิต’ เข้าใจและยินยอมอย่างแท้จริง”
และในกรณีนี้...ผมไม่สามารถออกใบรับรองให้ได้
ใบหน้าลูกสาวทั้งสองบูดบึ้งทันที
แต่คุณยายยกมือไหว้ผม มือสั่น ๆ น้ำตาไหลออกมา เธอพูดเสียงสั่นว่า
“ขอบใจนะหมอ ที่ยังฟังเสียงคนแก่”
วันนั้น ผมเดินทางกลับบ้านด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง ไม่ใช่เพราะถูกตำหนิจากญาติ แต่เพราะเห็นความจริงอันเจ็บปวดว่า บางครั้ง ครอบครัว...ก็ไม่ใช่ที่พึ่งพิงเสมอไป
เรื่องนี้สอนผมว่า
1. ใบรับรองสติ คือด่านสุดท้าย ที่คุ้มครองผู้สูงอายุไม่ให้ถูกกดดันหรือบังคับ
2. สิทธิ์ในการตัดสินใจของคนแก่ มีคุณค่ามากกว่าตัวเลขในบัญชี
3. ลูกหลานที่แท้จริง ไม่ใช่คนที่พูดว่า “แม่ยังมีสติ” แต่คือ คนที่ถามว่า “แม่อยากทำจริง ๆ ไหม”
ถ้าวันนี้คุณยังมีพ่อแม่ ปู่ย่า ตายายอยู่ข้าง ๆ จงฟังเสียงของเขาให้มากกว่าเสียงของผลประโยชน์ เพราะสิ่งที่เขาต้องการ...อาจไม่ใช่เงินทอง แต่คือการได้รู้ว่า “ความคิดของฉันยังมีค่าในสายตาลูกหลาน”
หมอหมูวีระศักดิ์เล่าเรื่อง. ยายวัย๘๒ถูกลูกสาวพามาหาหมอ ขอใบรับรองสติเพื่อถอนเงินก้อนที่เก็บมาทั้งชีวิต ทำไมหมอไม่เซ็นให้