มีคนสรุป มา
หมอม็อด หมอเด็กขอเล่า
การเช็ดตัวหรือป้อนยาลดไข้… “ไม่สามารถป้องกันชักได้”
(โพสต์สำหรับพ่อแม่ ฉบับอ่านเข้าใจง่าย)
แนวทางราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ฯ เพิ่งเขียนออกมาว่า... ยาลดไข้หรือการเช็ดตัว "ไม่สามารถป้องกันการชักในเด็กได้"
..
• และต้องเข้าใจก่อนว่า… เด็กที่มีไข้สูงทั้งหมด มีเพียง 2–5% เท่านั้นที่ชัก ขณะที่อีกกว่า 95% "ไม่ชัก" เลย
• มีงานทดลองในหนูปี 2009 ที่ช่วยอธิบายเรื่องนี้
– ถ้าทำให้หนูมีไข้เฉย ๆ → ไม่มีตัวไหนชัก
– แต่ถ้าฉีดสารที่ทำให้สมองหนู เปราะบาง ง่ายต่อการชักไว้ก่อน แล้วค่อยทำให้มีไข้ → ครึ่งนึงของหนูชักจริง
สรุปคือ: ไข้เพียงอย่างเดียวไม่ทำให้ชัก ต้องมีปัจจัยอื่นร่วมด้วย
แล้วไข้ชัก (Febrile seizure) เกิดจากอะไร?
• ก่อนอื่น ถ้าเด็กมี “ไข้ และ ชัก” เมื่อไหร่ ต้องรีบพาไปหาหมอ!
เพราะหมอต้องตรวจให้แน่ใจก่อนว่าชักเกิดจากอะไร เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ, เลือดออกในสมอง, เกลือแร่ผิดปกติ ฯลฯ
• ถ้าตรวจแล้วไม่พบอันตราย และเด็กอายุ 6 เดือน – 5 ปี
→ หมอจะวินิจฉัยว่าเป็น “ไข้ชักธรรมดา (Febrile seizure)” ซึ่งเป็นภาวะที่พบได้ในวัยนี้บ่อย
** ในโพสต์นี้จะขอเรียกสั้นๆว่า "ไข้ชัก"
• ลองนึกภาพว่าเหตุการณ์ “ไข้ชัก” เหมือนการยิงจรวด ที่จะพุ่งออกไปได้ ต้องกดเปิดสวิตช์หลายปุ่มพร้อมกัน ยกตัวอย่างเช่น
- สวิตช์ 1: การติดเชื้อบางชนิดที่ก่อการอักเสบ
- สวิตช์ 2: พันธุกรรม (พ่อแม่เคยไข้ชัก, มียีนบางชนิด)
- สวิตช์ 3: สมองที่ไวต่อการชักกว่าคนอื่น
- สวิตช์ 4: ไข้
ถ้ากดแค่ปุ่มสวิตช์ไข้อย่างเดียว แต่สวิตช์อื่นไม่ถูกกด → จรวดจะไม่พุ่ง (ไม่ชัก)
แต่ถ้าสวิตช์หลายตัวถูกกดพร้อมกัน → จรวดพุ่ง (เกิดไข้ชัก)
บางราย แม้ปุ่มไข้ไม่ถูกกด แต่ถ้าสวิตช์อื่นโดนกดเปิด ก็อาจเกิดการชักได้เช่นกัน
สรุปว่า “ไข้ชัก” ไม่ได้เกิดจากไข้เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากหลายปัจจัยเหมือนการกดสวิตช์พร้อมกัน
เด็ก 2–5% ที่เกิดไข้ชัก (ตามข้อ 2) คือเด็กที่สวิตช์หลายตัวถูกเปิดพร้อมกัน
ส่วนเด็กอีกกว่า 95% ที่มีไข้แต่ไม่ชัก เพราะสวิตช์อื่นๆ ไม่ถูกเปิดนั่นเอง
========================================
แล้วเราจะรู้ได้ยังไง ว่าลูกจะเป็น 2–5% ที่ว่านั้นหรือเปล่า?
• คำตอบคือ ไม่มีทางรู้ล่วงหน้าได้เลย
• สิ่งที่พอบอกได้คือ ถ้าพ่อแม่เคยเป็นไข้ชักตอนเด็กๆ หรือพี่น้องเคยมีประวัติไข้ชัก
ลูกก็ “อาจจะ” มีโอกาสเป็นไข้ชักสูงกว่าเด็กทั่วไป
เพราะลูกอาจจะมีสวิตช์ทางพันธุกรรมที่เปิดไว้รอแล้ว 1 อันแล้ว
แล้วถ้าลูกเราเป็น 1 ในคนที่เคยเป็นไข้ชักไปแล้ว จะทำยังไงได้บ้าง?
• พ่อแม่ที่เคยเห็นลูกชักตรงหน้า ทุกคนจะพูดเหมือนกันว่าเหมือนเห็นลูกกำลังจะตาeต่อหน้า
ทำให้เป็นภาพจำที่ไม่ง่ายที่จะลืม ดังนั้น คำถามคือจะช่วยอะไรพ่อแม่ได้บ้าง?
• อันดับแรก ข่าวดีของไข้ชักคือโอกาสเกิดซ้ำจะ “ลดลงเรื่อย ๆ”
ครั้งที่ 2 ≈ 25%
ครั้งที่ 3 ≈ 20%
ครั้งที่ 4 ≈ 10%
• อันดับต่อมา แจ้งพ่อแม่ในสิ่งที่ควรรู้ ได้แก่
ยืนยันว่า ไข้ชักทั่วไปไม่อันตรายในระยะยาว ไม่ทำลายสมอง และไม่ทำให้พัฒนาการผิดปกติ เข้าใจก่อนว่า “การลดไข้ป้องกันชักไม่ได้” แต่ทำเพื่อให้ลูกสบายขึ้น กินได้ หลับได้
ดังนั้นไม่จำเป็นต้องเร่งให้ยาหรือเช็ดตัวถี่เกินไปจนลูกไม่ได้พักผ่อน
ควรเรียนรู้วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น หากลูกมีอาการชักซ้ำ
ถ้ายังรู้สึกกังวลมากจริงๆ สามารถปรึกษาหมอเฉพาะทางระบบประสาทเรื่องการใช้ยากันชักตอนมีลูกมีไข้ได้
แต่โดยทั่วไปหมอมักไม่แนะนำ เพราะยามีผลข้างเคียงและไข้ชักธรรมดาไม่ได้อันตราย
เด็กเป็นไข้เฉยๆ กับเด็กเป็นไข้ร่วมกับชัก การดูแลไม่เหมือนกัน
• ถ้า “ไข้เฉยๆ ไม่ได้ชัก” → ให้ลดไข้เมื่อเด็กไม่สุขสบายตัว ไม่จำเป็นต้องทำให้อุณหภูมิกลับมาเป็นปกติตลอดเวลา
• ถ้า “ไข้ร่วมกับชัก” → ให้รีบปฐมพยาบาลเบื้องต้น ลดไข้ด้วยการเช็ดตัวเบาๆ เมื่อเด็กรู้ตัวดีก็ให้ทานยาลดไข้ และรีบพาไปโรงพยาบาล
เพราะตอนแรกยังไม่สามารถบอกได้ว่านี่คือการชักจากสาเหตุอะไร?
========================================
ถ้าลูกเป็นไข้ชักซ้ำบ่อยๆ > 3–4 ครั้ง
ควรพาไปปรึกษาหมอ เพราะอาจแปลว่า “ลูกมีปุ่มสวิตช์ยิงจรวดบางอันเปิดอยู่ ในขณะที่เด็กคนอื่นไม่มี”
ตัวอย่างเช่น
อาจมียีนบางชนิดที่ทำให้สมองไวต่อการชักมากกว่าปกติ
หรือจริงๆ แล้วอาจมีโรคลมชักซ่อนอยู่โดยที่ยังไม่เคยตรวจพบ
พูดง่ายๆ คือ… สมองลูกเปราะบางมากกว่าคนอื่น
พอมีปัจจัยมากระตุ้น เช่น ไข้ การติดเชื้อก็เหมือนปุ่มสวิตช์ถูกกดครบพร้อมกัน → เลยเกิดไข้ชักได้ง่ายและบ่อยกว่าเด็กทั่วไป
และเพราะมีความเชื่อที่สืบต่อกันมาว่า “ถ้าลูกไข้สูงจะชักแน่ๆ”
ความเชื่อนี้เองทำให้พ่อแม่หลายคนเกิดความกังวลเกินจริง
จนกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า Fever Phobia (ความกลัวไข้เกินเหตุ)
Fever Phobia (ความกลัวไข้เกินเหตุ) คืออะไร?
หลายครั้งที่พ่อแม่ได้ยินว่า “อย่าปล่อยให้ลูกไข้สูงเดี๋ยวจะชัก”
ก็เลยกลายเป็นความกังวลทุกครั้งที่ลูกมีไข้
ภาวะนี้มีชื่อเรียกว่า Fever Phobia หรือ “ความกลัวไข้เกินเหตุ”
จริงๆ แล้วนี่เป็น “ปัญหาที่พบทั่วโลก” และมีการพูดถึงมาตั้งแต่ก่อนปี 1980
หลายประเทศก็พยายามหาทางแก้ไขมาโดยตลอด
ตัวอย่างของพฤติกรรมที่เกิดจากความกลัวไข้เกินเหตุ
• พอตัวเลขบนปรอทมีไข้สูง → รู้สึกตกใจ ทั้งๆที่บางครั้งลูกยังเล่น หัวเราะ กินได้ตามปกติ
• ปลุกลูกที่กำลังหลับสบาย มาป้อนยาลดไข้หรือเช็ดตัว
• ให้ยาลดไข้ทุก 4 ชม. “ดักไว้ก่อน” ทั้งที่ยังไม่ไข้
• เช็ดตัวแรง ๆ หรือเช็ดบ่อยเกินไปจนลูกไม่สบายตัว
• รีบพาลูกไปห้องฉุกเฉินทุกครั้งที่มีไข้ขึ้น ทั้งที่อาการยังไม่ถึงขั้นฉุกเฉิน
แล้วเราจะแก้ “ความกลัวไข้เกินเหตุ” ได้ยังไง?
ความกังวลเวลาเห็นลูกมีไข้ เป็นเรื่องธรรมชาติของพ่อแม่ทุกคนเพราะรักและเป็นห่วงลูก
แต่ถ้าเราเข้าใจเรื่องไข้อย่างถูกต้อง จะช่วยให้ทั้งพ่อแม่สบายใจขึ้นและลูกเองก็ได้พักผ่อนอย่างแท้จริง
หลักการที่อยากชวนให้จำไว้คือ
• ไข้เป็นเพียงอาการ ไม่ใช่ศัตรู ร่างกายกำลังทำงานเพื่อต่อสู้กับโรค
• การลดไข้ ทำเพื่อให้ลูกสบายขึ้น → กินได้ หลับได้ ไม่เพลีย ไม่ได้มีไว้เพื่อกันชัก
• ไข้ชักไม่ทำลายสมอง ไม่ทำให้พัฒนาการผิดปกติ
• ลดไข้ได้ ไม่ได้มีข้อเสีย แต่ไม่ควรทำมากเกินไปจนกลายเป็นโทษ เช่น ให้ยาบ่อยมากไปหรือปลุกลูกบ่อยๆ จนอดนอน
คำแนะนำการดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีไข้ ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย+สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย 2568